ทำไมถึงตาลายบ่อย

โลกหมุนติ้ว…หรือแค่ร่างกายส่งสัญญาณ? ไขความลับ “อาการตาลาย” สัญญาณเตือนจากภายใน

เคยรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนชั่วขณะ ภาพตรงหน้าเบลอ มึนงง จนต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่างกะทันหันบ้างไหม? นั่นอาจเป็นสัญญาณของ “อาการตาลาย” ภัยเเฝงที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน และแม้จะเป็นอาการที่พบได้บ่อย แต่อย่ามองข้ามเด็ดขาด เพราะเบื้องหลังอาการที่ดูเหมือนไม่รุนแรง อาจซ่อนความผิดปกติภายในร่างกายที่ใหญ่กว่าที่คิด!

หลายคนอาจเข้าใจว่าอาการตาลายเกิดจากความผิดปกติของดวงตาเพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริง อาการตาลายเป็นผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน โรคภัย หรือแม้แต่อารมณ์และความเครียด โดยสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่:

1. ขาดน้ำ: เมื่อร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ เลือดจะข้นหนืดขึ้น ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ราบรื่น เกิดเป็นอาการมึนงง ตาพร่า จนถึงขั้นหน้ามืดเป็นลมได้

2. นอนน้อย พักผ่อนไม่พอ: การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเอง หากนอนไม่เพียงพอ สมองจะอ่อนล้า ประมวลผลช้าลง ส่งผลต่อระบบประสาทการทรงตัวและการมองเห็น ทำให้เกิดอาการตาลายได้

3. ความเครียดสะสม: ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น หลอดเลือดหดตัว เป็นสาเหตุของอาการมึนศีรษะ ตาลาย และหน้ามืดได้

4. โรคภัยแฝง: ในบางกรณี อาการตาลายอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคภัย เช่น โรคไมเกรน โรคหูน้ำไม่เท่ากัน โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตต่ำ เบาหวาน โลหิตจาง หรือแม้แต่เนื้องอกในสมอง

รับมืออย่างไร เมื่อโลกหมุน

• ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: เริ่มต้นดูแลตัวเองง่ายๆ ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอ 8-10 แก้วต่อวัน นอนหลับพักผ่อนให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และฝึกจัดการความเครียด
• หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น: หากพบว่าตนเองมักมีอาการตาลายเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ใดเป็นพิเศษ เช่น อากาศร้อนอบอ้าว แสงแดดจ้า หรืออยู่ในที่แออัด ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเหล่านั้น
• ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการตาลายบ่อยครั้ง รุนแรง หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น แขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด เห็นภาพซ้อน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

การดูแลสุขภาพอย่างใส่ใจ เป็นหนทางป้องกันอาการตาลายได้อย่างยั่งยืน อย่าปล่อยให้ร่างกายส่งสัญญาณเตือนซ้ำๆ เพราะนั่นอาจหมายถึงภัยร้ายที่แฝงตัวใกล้กว่าที่คิด