วิธีเช็คว่าตัวเองเป็นเบาหวานไหม

18 การดู
กระหายน้ำมากผิดปกติ ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในตอนกลางคืน เหนื่อยล้าผิดปกติ น้ำหนักลดลงโดยไม่ได้ตั้งใจ บาดแผลหายช้า มีอาการชาหรือรู้สึกเสียวซ่าบริเวณมือหรือเท้า มีปัญหาเรื่องการมองเห็น
ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

สัญญาณเตือน: เช็คลิสต์ง่ายๆ เพื่อสังเกตว่าคุณเสี่ยงเป็นเบาหวานหรือไม่

เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากทั่วโลก และน่าเสียดายที่หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังเผชิญกับภาวะนี้ กว่าจะรู้ตัวอาการก็อาจลุกลามไปมากแล้ว การตระหนักรู้ถึงสัญญาณเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

หากคุณกำลังสงสัยว่าตัวเองอาจมีความเสี่ยง ลองสำรวจร่างกายและพิจารณาอาการเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน:

  1. กระหายน้ำมากผิดปกติ: อาการนี้เป็นสัญญาณคลาสสิกของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ และกระตุ้นให้รู้สึกกระหายน้ำอย่างมาก แม้จะดื่มน้ำไปมากแล้วก็ตาม ความกระหายนี้มักจะรุนแรงกว่าความกระหายปกติที่เราเคยรู้สึก

  2. ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในตอนกลางคืน: เช่นเดียวกับอาการกระหายน้ำ การปัสสาวะบ่อยเป็นผลมาจากการที่ร่างกายพยายามกำจัดน้ำตาลส่วนเกินออกจากกระแสเลือด ไตทำงานหนักขึ้นเพื่อกรองน้ำตาล ส่งผลให้ปริมาณปัสสาวะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำหลายครั้งในตอนกลางคืนเป็นสัญญาณที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ

  3. เหนื่อยล้าผิดปกติ: ระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่สมดุลส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย เมื่อเซลล์ไม่ได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ คุณจะรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า แม้จะพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นจากเบาหวานมักจะแตกต่างจากความเหนื่อยล้าทั่วไป คือรู้สึกหมดเรี่ยวแรงอย่างมากและต่อเนื่อง

  4. น้ำหนักลดลงโดยไม่ได้ตั้งใจ: แม้จะรับประทานอาหารตามปกติหรือมากกว่าเดิม แต่หากน้ำหนักตัวลดลงโดยไม่มีสาเหตุ อาจเป็นสัญญาณของเบาหวานชนิดที่ 1 เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ ทำให้เซลล์ไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน ร่างกายจึงเริ่มสลายไขมันและกล้ามเนื้อเพื่อเป็นพลังงานแทน

  5. บาดแผลหายช้า: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงสามารถทำลายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนโลหิตลดลง ส่งผลให้บาดแผลต่างๆ หายช้ากว่าปกติ การติดเชื้อก็อาจเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

  6. มีอาการชาหรือรู้สึกเสียวซ่าบริเวณมือหรือเท้า: ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานสามารถทำลายเส้นประสาทได้ (Diabetic neuropathy) ทำให้เกิดอาการชา รู้สึกเหมือนมีอะไรมาไต่ หรือรู้สึกเจ็บแปลบ บริเวณมือและเท้า อาการนี้อาจเริ่มต้นที่ปลายเท้าและค่อยๆ ลามขึ้นมา

  7. มีปัญหาเรื่องการมองเห็น: ระดับน้ำตาลในเลือดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วสามารถส่งผลต่อเลนส์ตา ทำให้การมองเห็นพร่ามัว หากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางสายตาที่รุนแรงขึ้นได้

สิ่งที่ควรทำหากสงสัยว่าตัวเองเป็นเบาหวาน:

หากคุณมีอาการเหล่านี้อย่างน้อย 2-3 อาการ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting blood sugar, HbA1c) เป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไปในการวินิจฉัยเบาหวาน

อย่าละเลยสัญญาณเตือน! การตรวจพบและรักษาเบาหวานตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ การดูแลสุขภาพเชิงรุกคือสิ่งสำคัญที่สุดในการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี