เป็นลมพิษกี่วันควรไปหาหมอ

ลมพิษนานแค่ไหนถึงควรไปพบแพทย์? อย่ามองข้ามอาการเล็กน้อย

ลมพิษ หรือผื่นแพ้ เป็นอาการที่พบได้บ่อย แสดงออกด้วยผื่นแดงนูน คัน และอาจมีอาการบวมร่วมด้วย โดยทั่วไปแล้ว ลมพิษมักเกิดจากปฏิกิริยาแพ้ต่อสิ่งเร้าต่างๆ เช่น อาหาร ยา ละอองเกสร หรือแมลงกัดต่อย และมักหายไปเองภายในไม่กี่วัน แต่ก็มีบางกรณีที่ควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างเร่งด่วน

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “ลมพิษเป็นกี่วันถึงควรไปหาหมอ?” คำตอบนั้นไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และอาการแสดงร่วมอื่นๆ

กรณีที่ควรไปพบแพทย์ทันที (ภายใน 24 ชั่วโมง):

• ลมพิษร่วมกับอาการบวม: หากผื่นลมพิษมาพร้อมกับอาการบวมที่ใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ นี่คือสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ถึงภาวะ angioedema ซึ่งเป็นอาการบวมลึกที่อาจทำให้หายใจลำบากได้ ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที อย่ารอช้า เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
• หายใจลำบาก: อาการหายใจติดขัด หายใจหอบ หรือรู้สึกอึดอัด แม้จะไม่มีอาการบวมก็ตาม ควรไปพบแพทย์ทันที
• วิงเวียนศีรษะ หมดสติ: หากลมพิษมาพร้อมกับอาการวิงเวียนศีรษะ หรือหมดสติ นี่คือสัญญาณเตือนของปฏิกิริยาแพ้รุนแรง จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
• มีไข้สูง: ไข้สูง ร่วมกับลมพิษ อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ จำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษา
• อาการไม่ดีขึ้นหลังรับประทานยาแก้แพ้: หากทานยาแก้แพ้ตามร้านขายยาแล้ว แต่ยังไม่ดีขึ้น หรืออาการแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสม และตรวจหาสาเหตุอื่นๆ ที่อาจเป็นไปได้

กรณีที่ควรไปพบแพทย์ในระยะเวลาอันสมควร:

• ลมพิษเป็นเวลานานกว่า 1 สัปดาห์: หากลมพิษไม่หายไปเองภายใน 7 วัน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม อาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการเรื้อรังได้
• ลมพิษมีอาการรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ: เช่น ผื่นเพิ่มขึ้น บวมมากขึ้น คันมากขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการและรับการรักษาที่เหมาะสม
• มีแผลพุพอง หรือรอยแผลเป็น: หากผื่นลมพิษมีแผลพุพอง หรือทิ้งรอยแผลเป็นไว้หลังจากหาย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษา

สรุปแล้ว การพิจารณาว่าควรไปพบแพทย์เมื่อใด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และอาการแสดงร่วมอื่นๆ อย่ามองข้ามสัญญาณเตือน หากมีข้อสงสัย หรือไม่แน่ใจ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัย การรักษาที่ถูกต้องจะช่วยบรรเทาอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล