ทีวี LCD กับ LED ต่างกันอย่างไร

8 การดู

เทคโนโลยีจอภาพก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง จอ OLED ใช้พิกเซลที่สร้างแสงเองได้ทุกจุด จึงให้สีดำสนิทและคอนทราสต์สูงกว่า LCD และ LED แม้จะมีราคาสูงกว่า แต่คุณภาพของภาพที่ได้นั้นเหนือกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การรับชมที่สมบูรณ์แบบที่สุด

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

LCD กับ LED: ความต่างที่ไม่ใช่แค่ไฟแบ็คไลท์ และเรื่องราวของ OLED ที่เหนือกว่า

เมื่อเอ่ยถึงโทรทัศน์ยุคปัจจุบัน คำถามยอดฮิตที่มักวนเวียนอยู่ในใจผู้บริโภคคือ “LCD กับ LED ต่างกันอย่างไร?” หลายคนอาจเข้าใจว่า LED คือวิวัฒนาการขั้นกว่าของ LCD ซึ่งก็ไม่ผิดนัก แต่ความจริงแล้ว ความต่างไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีจอภาพหลัก แต่อยู่ที่ “ไฟแบ็คไลท์” หรือแหล่งกำเนิดแสงด้านหลังจอภาพต่างหาก

LCD (Liquid Crystal Display): จอภาพผลึกเหลวที่ต้องการแสงสว่าง

LCD เป็นเทคโนโลยีจอภาพที่ใช้ “ผลึกเหลว” เป็นตัวกลางในการควบคุมการแสดงผลของแสง ผลึกเหลวเหล่านี้จะเรียงตัวและบิดเบือนเมื่อได้รับกระแสไฟฟ้า ทำให้แสงที่ส่องผ่านเปลี่ยนแปลงไป และแสดงสีสันต่างๆ ออกมา แต่ LCD เองไม่สามารถกำเนิดแสงได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องมีแหล่งกำเนิดแสงภายนอก หรือที่เรียกกันว่า “ไฟแบ็คไลท์” ส่องจากด้านหลังเพื่อให้ภาพปรากฏ

LED (Light Emitting Diode): ไฟแบ็คไลท์ที่ส่องสว่างกว่าเดิม

LED ไม่ใช่เทคโนโลยีจอภาพใหม่ แต่เป็นเทคโนโลยี “ไฟแบ็คไลท์” ที่นำมาใช้แทนหลอดไฟ CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแสงแบบเดิมในจอ LCD LED มีข้อดีหลายประการ เช่น ขนาดเล็ก ประหยัดพลังงาน อายุการใช้งานยาวนาน และให้แสงสว่างที่สม่ำเสมอมากกว่า เมื่อนำมาใช้เป็นไฟแบ็คไลท์ในจอ LCD จึงทำให้ภาพคมชัด สว่าง และมีสีสันสดใสยิ่งขึ้น

สรุปความแตกต่าง: ไฟแบ็คไลท์ที่เปลี่ยนโลกของ LCD

กล่าวโดยสรุป จอ LED คือจอ LCD ที่ใช้ไฟแบ็คไลท์ LED แทนที่ไฟแบ็คไลท์ CCFL ดังนั้น ความแตกต่างหลักจึงอยู่ที่แหล่งกำเนิดแสงด้านหลังจอภาพ ไม่ใช่เทคโนโลยีจอภาพหลักนั่นเอง การเปลี่ยนมาใช้ LED ทำให้จอ LCD มีประสิทธิภาพดีขึ้นในหลายด้าน แต่ยังคงมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ระดับสีดำที่ไม่สนิทเท่าที่ควร และมุมมองที่อาจเปลี่ยนแปลงเมื่อมองจากด้านข้าง

OLED (Organic Light Emitting Diode): จอภาพแห่งอนาคตที่เหนือกว่า

ในขณะที่ LCD และ LED ยังคงต้องพึ่งพาไฟแบ็คไลท์ในการแสดงภาพ OLED กลับก้าวไปอีกขั้นด้วยการใช้ “สารอินทรีย์” ที่สามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวเองเมื่อได้รับกระแสไฟฟ้า นั่นหมายความว่าแต่ละพิกเซลบนจอ OLED สามารถเปิด-ปิดได้อย่างอิสระ ทำให้ได้สีดำที่ดำสนิท คอนทราสต์ที่สูง และมุมมองที่กว้างขวาง

ข้อดีของ OLED ที่เหนือกว่า:

  • สีดำสนิทและคอนทราสต์สูง: พิกเซลที่ไม่ต้องการแสดงสีดำจะปิดสนิท ทำให้ได้สีดำที่ดำจริง และคอนทราสต์ที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • มุมมองที่กว้าง: เนื่องจากแต่ละพิกเซลเปล่งแสงเอง ทำให้ภาพคมชัดและสีสันถูกต้องแม้จะมองจากมุมที่ต่างกัน
  • การตอบสนองที่รวดเร็ว: พิกเซลสามารถเปิด-ปิดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ภาพเคลื่อนไหวดูสมูทและคมชัด ลดปัญหาภาพเบลอ
  • ดีไซน์ที่บางเบา: ไม่จำเป็นต้องมีไฟแบ็คไลท์ ทำให้สามารถผลิตจอภาพที่มีความบางเบาเป็นพิเศษ

OLED: ทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการที่สุดของที่สุด

ถึงแม้ OLED จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มาพร้อมกับราคาที่สูงกว่า LCD และ LED อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม หากคุณคือผู้ที่ต้องการประสบการณ์การรับชมที่สมบูรณ์แบบที่สุด มองหาภาพที่มีสีสันสดใส คมชัด และสมจริง OLED คือตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด แม้จะต้องลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าอย่างแน่นอน

สรุป:

LCD และ LED เป็นเทคโนโลยีจอภาพที่แตกต่างกันตรงที่ “ไฟแบ็คไลท์” ส่วน OLED คือเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปอีกขั้นด้วยการใช้พิกเซลที่เปล่งแสงเองได้ ทำให้ได้ภาพที่มีคุณภาพเหนือกว่า หากงบประมาณไม่ใช่ปัญหา OLED คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับประสบการณ์การรับชมที่สมบูรณ์แบบ