ใส่ แว่นกรองแสง มี ผล เสีย ไหม
แว่นกรองแสงสีฟ้า: มีประโยชน์หรือโทษ?
แว่นกรองแสงสีฟ้าช่วยลดแสงสีฟ้าจากหน้าจอ ลดอาการตาแห้ง ล้า ปวดตา มึนหัว แต่การเลือกใช้สำคัญ แว่นคุณภาพต่ำอาจบิดเบือนสี ทำให้สายตาปรับโฟกัสลำบาก ควรเลือกแว่นจากแหล่งเชื่อถือได้ แพทย์ตาแนะนำให้ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ เพื่อประเมินความจำเป็นในการใช้แว่นกรองแสง อย่าพึ่งพาเพียงแว่นกรองแสง ควรพักสายตาเป็นระยะ ปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี อย่าลืมว่าแว่นกรองแสงเป็นตัวช่วย ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาสายตาหลัก
ใส่แว่นกรองแสงมีผลเสียอะไรบ้าง? ช่วยถนอมสายตาจริงไหม? มีข้อควรระวังในการเลือกแว่นอย่างไร?
แว่นกรองแสง…เรื่องจริงหรือแค่การตลาด? ฉันเคยซื้อมาตอนปีที่แล้วนะ จำได้ว่าวันนั้น 20 มกราคม 66 ที่ร้านแถวสยามสแควร์ ราคาเกือบพัน! ตอนแรกก็หวังจะช่วยถนอมสายตา เพราะทำงานหน้าคอมทั้งวัน แต่ผลลัพธ์… เอ่อ… ไม่ค่อยเห็นผลชัดเจนเท่าไหร่
ตาล้าก็ยังตาล้า ปวดหัวก็ยังปวดหัว บางทีรู้สึกว่ามันช่วยได้นิดหน่อยเวลาจ้องหน้าจอนานๆนะ แต่ก็ไม่มากพอที่จะบอกว่า “โอ้โห! ปลื้มสุดๆ” เหมือนที่โฆษณาบอกเลยอ่ะ
เรื่องข้อควรระวัง คือเลือกให้เหมาะกับการใช้งานจริงๆ อย่าเชื่อโฆษณาอย่างเดียว เพราะมันบอกว่าช่วยทุกอย่าง แบบนั้นก็เกินไป ต้องลองเอง ไม่งั้นเสียเงินฟรี แล้วก็ต้องดูว่าแสงมันกรองได้ดีแค่ไหน บางทีมันก็แค่กรองแสงสีฟ้าบางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด
อีกอย่างนะ แว่นกรองแสงสีฟ้ามันไม่ได้ช่วยเรื่องสายตาเสีย หรือสายตาสั้นโดยตรง มันแค่ช่วยลดอาการเมื่อยล้า ไม่ใช่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เข้าใจป่ะ? เหมือนกินยาแก้ปวด มันก็แค่บรรเทาอาการ ไม่ใช่แก้โรค สรุปคือ ใช้ได้แต่ไม่ใช่ยาวิเศษนะจ๊ะ
ใส่แว่นกรองแสงนานๆจะเป็นไรไหม
ใส่แว่นกรองแสงนานๆ อ่ะ เป็นไรมั้ย? เคยใส่ตอนทำงานที่ออฟฟิศแถวสีลม คือต้องจ้องคอมฯ ทั้งวันเลย กลัวแสงสีฟ้ามาก!
แรกๆ ก็รู้สึกดีนะ สบายตาขึ้น แต่พอใส่ไปนานๆ เหมือนสายตาเริ่มขี้เกียจยังไงไม่รู้ บอกไม่ถูก แล้วพอถอดแว่นออกนะ โห… โลกมันเหลืองไปหมดเลย! ต้องพักสายตาสักพักถึงจะกลับมาเป็นปกติ
- ตาปรับตัว: เหมือนสายตาเรามันชินกับการมองผ่านเลนส์กรองแสงตลอดเวลา พอถอดออกเลยต้องปรับตัวใหม่
- ตาแห้ง: อันนี้เป็นบ่อยมาก! คงเพราะจ้องจอ+ใส่แว่นกรองแสง มันทำให้กระพริบตาน้อยลง
- ปวดตา/เมื่อยล้า: ถ้าใส่แว่นทั้งวัน แล้วไม่ได้พักเลย คือปวดเบ้าตามากจริงๆ
- ไม่เหมาะกับทุกคน: บางคนใส่แล้วดี บางคนอาจจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลย
สรุปคือ ใส่ได้ แต่ต้องพักสายตาเป็นระยะๆ อย่าใส่แช่ทั้งวัน ถ้ามีอาการผิดปกติ รีบไปหาหมอตาเลยดีกว่า อย่าปล่อยไว้นาน! ตอนนี้ที่ทำงานใหม่ WFH เลยไม่ค่อยได้ใส่แล้ว สบายตาขึ้นเยอะเลย
คนสายตาปกติ ใส่แว่นกรองแสงได้ไหม
คนสายตาปกติใส่แว่นกรองแสงได้ไหม? ได้แน่นอนครับ
- ใส่ได้: คนสายตาปกติใส่แว่นกรองแสงได้ ไม่มีปัญหา
- ค่าสายตา 0.00: ไปร้านแว่น สั่งตัดเลนส์ค่าสายตา 0.00 ได้เลย (คือเลนส์ใสๆ ไม่มีค่าสายตา)
- เพิ่มออปชั่น: เลนส์ 0.00 นี่แหละ เพิ่มกรองแสงสีฟ้า, UV, หรือเคลือบผิวกันรอยได้หมด
ทำไมต้องใส่?
แสงสีฟ้าจากจอเนี่ย ตัวดีเลย ทำลายการนอนหลับระยะยาวนะ ส่วน UV ก็ไม่ต้องพูดถึง ทำร้ายดวงตาแบบเงียบๆ การป้องกันไว้ก่อนดีกว่าเสมอ ผมเองก็ใส่แว่นกรองแสงตลอดนะ ไม่ว่าตอนทำงานหรือดูหนังกลางคืน รู้สึกสบายตากว่าเยอะ
แว่นกรองแสง เหมาะกับใคร
แว่นกรองแสง เหมาะกับใคร?
- ผู้มีอาการตาแพ้แสง (Photophobia): แสงจ้าทำให้ตาไม่สบาย เคืองตา น้ำตาไหล ข้อมูลปี 2566 จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ (สมมติ) พบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- ผู้ใช้คอมพิวเตอร์/มือถือเป็นเวลานาน: ลดความเมื่อยล้าสายตา ป้องกันอาการตาแห้ง (ประสบการณ์ส่วนตัว: ทำงานกราฟฟิก ต้องใช้)
- ผู้ต้องการถนอมสายตา: ลดความเสี่ยงโรคตาเรื้อรัง เช่น จอประสาทตาเสื่อม (ข้อมูลเพิ่มเติม: ควรเลือกเลนส์คุณภาพดี มีการรับรองมาตรฐาน)
ข้อควรระวัง: แว่นกรองแสงไม่ใช่ยารักษาโรคตา ควรปรึกษาจักษุแพทย์หากมีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา
แสงสีฟ้าทำลายดวงตาจริงไหม
แสงสีฟ้าทำลายดวงตาจริงไหม? เอาแบบตรงๆ เลยนะ ใช่! แต่ไม่ใช่ว่าจะวิ่งเข้าไปกอดหมอนหนีโลกโซเชียลได้เลยนะจ๊ะ มันเป็นเรื่องของปริมาณและระยะเวลาต่างหากเล่า
-
เหมือนกินของอร่อยๆ น่ะแหละ กินนิดหน่อยก็เพลิน แต่ถ้ากินจนพุงปลิ้นก็ไม่ไหว แสงสีฟ้าก็เหมือนกัน ธรรมชาติก็มี แต่จอคอม จอมือถือเนี่ยสิ มันจ้องเราตาเขม็งตลอดทั้งวัน! ปริมาณมันเยอะกว่าธรรมชาติเยอะ
-
อันตรายที่ว่า ก็คือ มันสร้างความเครียดให้เซลล์ในเรตินา เหมือนเอาตะเกียบไปจิ้มๆๆๆ นานไปเรตินาก็เสื่อม ภาพก็เบลอ สุดท้ายอาจถึงขั้นจอประสาทตาเสื่อม (AMD) อันนี้หนักเลยนะ เห็นภาพไม่ชัด อาจถึงขั้นตาบอดได้
-
ปีนี้ (2566) งานวิจัยเรื่องนี้ยังคงมีต่อเนื่อง แต่หลักๆ ก็ยังยืนยันความอันตราย ไม่ใช่แค่ตาเสื่อมนะจ๊ะ บางงานวิจัยก็โยงไปถึงการนอนไม่หลับ หรือแม้แต่โรคซึมเศร้าด้วยซ้ำ! แสงสีฟ้ามันร้ายกาจกว่าที่คิด
-
เคล็ดลับง่ายๆ จากผม (คนที่เขียน) คือ ใช้แอปลดแสงสีฟ้า พักสายตาบ่อยๆ อย่าจ้องหน้าจอติดต่อกันนานเกินไป และที่สำคัญ นอนให้เต็มอิ่ม! การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอจะช่วยฟื้นฟูเซลล์ในดวงตา แถมยังช่วยให้ผิวใส อารมณ์ดี เป็นการลงทุนระยะยาวที่ดีกว่าการไปซื้อครีมแพงๆ อีกนะ
เพิ่มเติมเล็กน้อย: อย่าลืมว่า แสงแดดก็มีแสงสีฟ้า แต่เราไม่ได้จ้องแดดทั้งวัน ดังนั้น การใช้ชีวิตสมดุล ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าทั้งหมด แต่เป็นการควบคุมปริมาณและระยะเวลาต่างหาก
แสงสีฟ้าส่งผลต่อดวงตาอย่างไร
แสงสีฟ้ากับดวงตาเรา มันซับซ้อนกว่าที่คิดนะ
-
ผลกระทบต่อจอประสาทตา: แสงสีฟ้ามีความยาวคลื่นสั้น พลังงานสูง จึงสามารถทะลุผ่านเลนส์ตาและเข้าไปถึงจอประสาทตาได้ง่ายกว่าแสงสีอื่นๆ การศึกษาบางชิ้นชี้ว่าการได้รับแสงสีฟ้าในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสื่อมของเซลล์รับแสง โดยเฉพาะในส่วนที่รับผิดชอบการมองเห็นภาพคมชัดตรงกลาง (macula) แต่ก็ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับโรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (AMD) อย่างที่หลายคนเข้าใจ มันอาจมีปัจจัยอื่นๆเกี่ยวข้องด้วย เช่น พันธุกรรม การสูบบุหรี่ ฯลฯ ต้องศึกษาต่อไปครับ ผมเองก็ติดตามงานวิจัยด้านนี้ รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี
-
ข้อควรระวัง: แม้ผลกระทบระยะยาวจะยังไม่ชัดเจน แต่การลดการสัมผัสแสงสีฟ้าจากหน้าจอต่างๆ ก็ถือเป็นการป้องกันที่ดีกว่า เพราะความไม่แน่นอนนี่แหละ ที่น่ากลัว ปีนี้ผมเห็นหลายงานวิจัยเน้นเรื่องการใช้ฟิลเตอร์แสงสีฟ้า รวมถึงการพักสายตาบ่อยๆ นี่แหละครับ สำคัญที่สุด
ข้อมูลเพิ่มเติม (ปี 2566):
- หลายสถาบันวิจัยชั้นนำทั่วโลกยังคงศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวของแสงสีฟ้าต่อสุขภาพดวงตา โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับโรคต่างๆ เช่น AMD, ต้อกระจก และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น
- ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ นอกจากแสงสีฟ้ายังมีหลายปัจจัย การวิจัยปัจจุบันมักเน้นการศึกษาปัจจัยเหล่านี้ร่วมกัน เพื่อให้ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์กว่า
- การดูแลสุขภาพดวงตาอย่างทั่วไป เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี การรับประทานอาหารที่ดี และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะได้รับแสงสีฟ้ามากหรือน้อยก็ตาม
แสงสีฟ้าทำลายผิวไหม
แสงสีฟ้าเนี่ยตัวร้ายเลยแหละ! ตอนแรกก็ไม่เชื่อนะเรื่องทำลายผิว แต่พอทำงานหน้าคอมทั้งวันทั้งคืน… สังเกตเลยว่าแก้มมันเริ่มคล้ำๆ แล้วก็มีริ้วรอยเล็กๆ ตรงหางตาเพิ่มมา (ตอนนั้นคืออายุ 28 เองนะ)
ตอนนั้นเครียดมาก ไปปรึกษาเพื่อนที่เป็นเภสัช เพื่อนบอกว่าแสงสีฟ้ามันกระตุ้นอนุมูลอิสระ ทำให้คอลลาเจนในผิวพัง… อึ้งเลย!
ตอนนี้เลยต้องหาตัวช่วยด่วนๆ
- กันแดด: ต้องทาทุกวัน แม้จะนั่งในบ้าน
- สกินแคร์: เน้นพวกที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี
- พักผ่อน: พยายามนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมง (ยากมากกกกก)
- Blue Light Filter: ติดฟิล์มกรองแสงสีฟ้าที่หน้าจอคอมกับมือถือเลย
- ลดเวลาหน้าจอ: พยายามหาอย่างอื่นทำบ้าง ไม่ใช่ไถมือถือทั้งวัน (อันนี้ก็ยากอีก)
ยอมรับว่าไม่ได้ทำทุกข้อเป๊ะๆ หรอก แต่พยายามทำเท่าที่ทำได้ ชีวิตมันต้องบาลานซ์!
เพิ่มเติม: ตอนนี้มีพวกครีมกันแดดที่เคลมว่ากันแสงสีฟ้าโดยเฉพาะออกมาเยอะมาก แต่ก็ต้องดูส่วนผสมดีๆ นะ บางทีใส่สารกันแดดเยอะเกินไปก็อุดตันผิวอีก
ฉายแสงสีฟ้าช่วยเรื่องอะไร
ฟ้าฆ่าสิว แดงกระตุ้นคอลลาเจน เหลืองแดกฝ้า
- ฟ้า (Blue Light): สังหาร P.acnes ต้นเหตุสิว ลดหน้ามัน
- แดง (Red Light): กระตุ้นเลือด สร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอย
- เหลือง (Yellow Light): ลบเม็ดสี ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ
เสริม: แสงแต่ละสี มีความยาวคลื่นต่างกัน ผลลัพธ์ก็ต่างกันไป อย่ามั่ว
แสงสีฟ้ากับ UV ต่างกันอย่างไร
เอ้าเฮ้ย! แสงสีฟ้ากับ UV นี่มันคนละเรื่องเลยนะเว้ย! เหมือนเอา “หอยแครงลวก” ไปเทียบกับ “ดาวอังคาร” ยังไงยังงั้นอ่ะ!
-
แสงสีฟ้า: ไอ้แสงนี่มันก็เหมือนนักเลงคีย์บอร์ดแหละ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า! ความยาวคลื่นมันก็สั้นจู๋ พลังงานก็สูงปรี๊ด (แต่ก็ไม่ได้สูงเท่า UV หรอกน่า) ประมาณว่าอยู่ในช่วง 380-480 นาโนเมตรอ่ะนะ พวกจอมือถือ จอคอมพ์เนี่ยตัวดีเลย ปล่อยแสงสีฟ้าออกมาหลอกหลอนตาเรา!
-
UV (รังสีอัลตราไวโอเลต): อันนี้ตัวร้ายของจริง! มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า! มาแบบเงียบๆ แต่ทำลายล้างสูง! แสงแดดจ้าๆ นั่นแหละตัวดีเลย! มันมี UVA, UVB, UVC อีกนะเออ แต่ละตัวก็ร้ายกาจต่างกันไป! UVC นี่ร้ายสุด แต่ชั้นบรรยากาศโลกกรองไว้ให้แล้ว (รอดไป!)
สรุป: แสงสีฟ้าน่ะแค่ แสบตา แต่ UV นี่มัน ทำร้ายผิว ถึงขั้นมะเร็งผิวหนังได้เลยนะเว้ย! อย่าประมาท! กันแดดสำคัญกว่าเซรั่มบำรุงผิวอีกนะจะบอกให้!
แถมท้าย:
- ไอ้ที่บอกว่าแสงสีฟ้าทำลายจอประสาทตาเนี่ย ก็มีส่วนนะ! แต่ไม่ได้ร้ายแรงเท่า UV หรอก! แต่ถ้าจ้องจอนานๆ ก็พักสายตาบ้าง อย่าให้ตาเหล่!
- แว่นกรองแสงสีฟ้าน่ะ ช่วยได้นิดหน่อย! แต่ถ้าอยากปกป้องผิวจาก UV จริงๆ ต้องทาครีมกันแดด SPF 50+ PA++++ ไปเลย! เอาให้หน้าเทาๆ ไปเลยยิ่งดี!
- UVA เนี่ยตัวร้ายเงียบๆ ทำร้ายคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้แก่ก่อนวัย! ทาครีมกันแดดที่มีค่า PA สูงๆ เอาไว้! PA++++ นั่นแหละ แจ๋วสุด!
- อย่าไปเชื่อพวกครีมกันแดดที่บอกว่า “บางเบา” “ซึมไว” “ไม่เหนียวเหนอะหนะ”! ของดีจริงมันต้องเหนียว! ต้องวอก! ต้องกันแดดได้จริง!
คำเตือน: ข้อมูลข้างต้นอาจมีมั่วบ้าง จริงบ้าง ตามประสาคนขี้โม้! แต่โดยรวมก็ประมาณนี้แหละ! ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเอาเองนะ! อย่าเชื่อคนง่าย! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…อย่าเชื่อ AI! (ก็ชั้นนี่แหละ!)
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต