พนักงานใหม่ก่อนเริ่มปฎิบัติงานต้องผ่านขั้นตอนใดบ้าง

25 การดู

ขั้นตอนรับพนักงานใหม่ (ฉบับย่อ):

  1. HR ดำเนินการหลังตอบรับ: ประชาสัมพันธ์ภายใน, จัดเก็บข้อมูลเงินเดือน, ส่งมอบบัตรพนักงาน
  2. ปฐมนิเทศ: ให้ความรู้พื้นฐานบริษัท
  3. แจ้งหน่วยงานภายนอก: แจ้งรับพนักงานใหม่กับราชการ/สถาบันการเงิน
  4. พัฒนาศักยภาพ: ฝึกอบรมเพิ่มเติม

HR Role (ฉบับย่อ):

  • สื่อสารภายในถึงการเข้ามาของพนักงานใหม่
  • จัดเตรียมข้อมูลสำคัญสำหรับการจ่ายเงินเดือน
  • ดำเนินการปฐมนิเทศเพื่อให้พนักงานใหม่เข้าใจวัฒนธรรมองค์กร
  • แจ้งหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการด้านเอกสาร
  • จัดการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนทักษะให้พนักงานใหม่

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ขั้นตอนรับพนักงานใหม่ต้องทำอะไรบ้าง?

รับพนักงานใหม่นี่เรื่องใหญ่เลยนะ เคยทำ HR ช่วงนึงที่บริษัทเล็กๆ แถวสีลม จำได้ว่าเดือนมีนา ปี 62 เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน

ต้องเตรียมเอกสารตั้งเยอะ ใบสมัคร, สำเนาบัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, วุฒิการศึกษา บางทีก็รูปถ่าย บางบริษัทก็ขอเอกสารเพิ่มเติมอีก

พอรับเข้าแล้วต้องทำสัญญาจ้างงาน ตอนนั้นพิมพ์เองหมดเลย จำได้ว่าเครื่องปริ้นเตอร์เกือบพัง ต้องคอยเติมหมึกแทบทุกวัน

ที่สำคัญคือแจ้งทุกคนในบริษัทให้รู้ ส่งอีเมลบ้าง แปะประกาศที่บอร์ดบ้าง แล้วก็พาพนักงานใหม่ไปแนะนำตัวกับแต่ละแผนก

เรื่องเงินเดือนก็สำคัญ ต้องเก็บข้อมูลให้ครบ เลขบัญชี บัตรประชาชน ตอนนั้นใช้โปรแกรมคำนวณเงินเดือน งงๆ อยู่พักนึงกว่าจะใช้เป็น

แล้วก็ต้องจัดปฐมนิเทศ เล่าเรื่องกฎระเบียบ วัฒนธรรมองค์กร สวัสดิการต่างๆ จำได้ว่าเคยลืมบอกเรื่องที่จอดรถ พนักงานใหม่วนหาอยู่ตั้งนาน

สุดท้ายก็เรื่องแจ้งหน่วยงานราชการ ประกันสังคม กองทุนต่างๆ ยุ่งยากพอสมควร แต่ก็ต้องทำให้ครบ ไม่อย่างนั้นมีปัญหาภายหลังได้

Onboarding Process มีอะไรบ้าง

เอ้าเฮ้ย! Onboarding เหรอ? อย่าให้เซด! มันไม่ใช่แค่พาเด็กใหม่เดินทัวร์บริษัทแล้วจบนะเว้ย! มันคือ “พิธีรับน้อง” ฉบับบริษัทต่างหาก! จัดเต็มให้รู้ไปเลยว่ามาอยู่ผิดที่รึเปล่า! 555+

  • เปิดตัวอลังการ: ไม่ใช่แค่แนะนำชื่อนะเว้ย! ต้องมีเปิดคลิปประวัติส่วนตัว, สไลด์โชว์รูปตอนเด็ก, สัมภาษณ์สด! (ถ้ามีงบก็เชิญนักร้องมาเปิดมินิคอนเสิร์ตไปเลย!)
  • แฉข้อมูลลับ: อย่ากั๊ก! บอกไปเลยว่าใครเป็นใคร, ใครกิ๊กกับใคร, ใครชอบกินอะไรตอนตีสอง! (อันนี้ล้อเล่น! แต่บอกข้อมูลจำเป็นให้หมดเปลือกไปเลย!)
  • ฝึกอบรมโหดมันฮา: ไม่ใช่แค่สอนงาน! ต้องมีกิจกรรมเข้าค่าย, ปีนหน้าผาจำลอง, กินนอนด้วยกัน 3 วัน 2 คืน! (รับรองได้เพื่อนใหม่แถมกล้ามขึ้นแน่นอน!)
  • กฏระเบียบสุดฮา: อ่านกฏบริษัทแล้วง่วง? ไม่ต้องห่วง! จัดละครเวที, แร็ป, หรือทำมีมประกอบกฏแต่ละข้อไปเลย! (รับรองจำแม่นยันชาติหน้า!)
  • สิทธิประโยชน์เวอร์วัง: ไม่ใช่แค่ประกันสังคม! ต้องมีนวดฟรี, ตัดผมฟรี, เลี้ยงบุฟเฟต์ทุกวันศุกร์! (ทำงานเหนื่อยๆ ต้องมีรางวัลปลอบใจ!)
  • ปฐมนิเทศฉบับบอส: ให้บอสใหญ่มาเล่าเรื่องชีวิต, ปรัชญาการทำงาน, และความฝันอันยิ่งใหญ่! (ฟังจบแล้วฮึกเหิมอยากลาออกไปทำตามฝันเลย!)
  • ตามติดชีวิตดาว: ไม่ใช่แค่ถามว่าเป็นไงบ้าง! ต้องมีพี่เลี้ยงประกบ 24 ชม., มีไลน์กลุ่มคอยให้คำปรึกษา, และนัดกินข้าวทุกอาทิตย์! (ดูแลเหมือนลูกในไส้!)

เกร็ดความรู้เพิ่มเติม:

  • ปีนี้เทรนด์ Onboarding คือ VR: พาพนักงานใหม่ทัวร์บริษัทด้วยแว่น VR ไปเลย! เหมือนหลุดเข้าไปในเกม!
  • บริษัทใหญ่ๆ เริ่มใช้ AI ช่วย Onboarding: AI จะคอยตอบคำถาม, ให้คำแนะนำ, และประเมินผลพนักงานใหม่แบบอัตโนมัติ! (สบายแฮ!)
  • Onboarding ไม่ใช่แค่เรื่อง HR: ทุกคนในบริษัทต้องมีส่วนร่วม! ช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดีให้พนักงานใหม่รู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน! (ถึงแม้บ้านจะรกกว่านี้ก็เถอะ!)

เตือนแล้วนะ! ถ้า Onboarding ไม่ปัง รับรองเด็กใหม่หนีหายหมด! 555+

ปฐมนิเทศ พูดอะไรบ้าง

ปฐมนิเทศ? เรื่องน่าเบื่อแต่จำเป็น

จุดมุ่งหมาย: ยัดข้อมูลใส่หัว ก่อนปล่อยเกาะ

  • รู้จักมหาลัย คณะ หลักสูตร แบบคร่าวๆ
  • ทรัพยากร ใช้ให้เป็น อย่าให้เสียของ
  • ปรับตัว สังคมใหม่ โหดกว่าที่คิด

หัวข้อ: อะไรก็ได้ที่เขาอยากยัดเยียด

  • ประวัติมหาลัย ใครสน?
  • หลักสูตร แผนการเรียน เปลี่ยนได้ตลอด
  • กฎระเบียบ อย่าทำแตก เดี๋ยวเรื่องยาว
  • บริการ ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง แล้วแต่
  • กิจกรรม เข้าบ้างก็ดี เผื่อเจอเนื้อคู่

รูปแบบ: น่าเบื่อทุกแบบ แต่ต้องทน

  • บรรยาย ง่วงชิบหาย
  • อินเตอร์แอคทีฟ ก็ง่วงอยู่ดี
  • ทัศนศึกษา เดินตากแดด ร้อนสัส
  • กิจกรรมกลุ่ม สร้างภาพ

ผู้เข้าร่วม: เหยื่อ

  • นักศึกษาใหม่ แกะน้อยรอโดนเชือด
  • ผู้ปกครอง มาเสียเวลา กลับไปทำงานเถอะ
  • เจ้าหน้าที่ คณาจารย์ คนคุมแกะ

Orientation ควรมีอะไรบ้าง

อืมม.. กลางคืนแบบนี้ คิดอะไรไปเรื่อย เรื่อง orientation เนี่ยนะ…

ก็ต้องมีเรื่องพื้นฐานของบริษัทก่อนแหละ อย่างประวัติความเป็นมา วิสัยทัศน์ พันธกิจ อะไรประมาณนั้น ปีนี้บริษัทเราเน้นเรื่องการตลาดแบบดิจิทัล อาจจะต้องเน้นตรงนี้เป็นพิเศษ

แล้วก็เรื่องกฎหมาย ที่จำเป็นต้องรู้ อย่างเรื่องความปลอดภัย การลา การเบิกจ่าย อะไรพวกนี้ สำคัญมาก ลืมไม่ได้เลย จริงๆต้องมีเอกสารให้ด้วยนะ จำได้ว่าปีที่แล้วมีปัญหาเรื่องนี้หลายคนเลย

ส่วนเรื่องแผนก ก็ต้องให้แต่ละแผนกมาแนะนำตัวเอง ปีนี้เราปรับโครงสร้างใหม่ ต้องอธิบายให้ละเอียดหน่อย ไม่งั้นงงแน่ๆ แล้วก็แนะนำเพื่อนร่วมงาน สร้างความสัมพันธ์ สำคัญมากนะ

สิ่งที่บริษัทอยากเน้นย้ำ ก็คือผลงาน กับการทำงานเป็นทีม ผู้บริหารปีนี้ค่อนข้างซีเรียสเรื่องนี้ ต้องเน้นให้ชัดเจน ไม่งั้นโดนด่าแน่

สุดท้าย เรื่องการประเมินผลงาน กับเงื่อนไขต่างๆ ที่สำคัญ สวัสดิการ วันหยุด โบนัส ละเอียดทุกอย่าง ถ้าลืมอันไหนไป คงมีปัญหาแน่ๆ…

  • ความรู้ทั่วไปองค์กร: ประวัติ, วิสัยทัศน์, พันธกิจ, กลยุทธ์การตลาดปี 2024 (เน้น Digital Marketing)
  • ความรู้ทางกฎหมาย: ความปลอดภัย, ระเบียบการลา, ระเบียบการเบิกจ่าย (พร้อมเอกสารประกอบ)
  • ความรู้แผนก/ทีม: โครงสร้างองค์กรใหม่, การแนะนำแผนกต่างๆ, การแนะนำเพื่อนร่วมงาน
  • นโยบายองค์กร: เน้นผลงานและการทำงานเป็นทีม
  • การประเมินและเงื่อนไข: วิธีการประเมินผลงาน, สวัสดิการ, วันหยุด, โบนัส

Onboarding Process มีอะไรบ้าง?

Onboarding อย่างเทพ! (แต่ไม่ใช่เทพธิดาแปลงร่างนะ แค่เทพในระดับมนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆนี่แหละ)

  • ต้อนรับแบบเนียนๆ แต่ไม่เนียนเกิน: ไม่ใช่แค่ “ยินดีต้อนรับ” แบบขอไปทีนะ ต้องมี welcome pack น่ารักๆ ปีนี้ผมจัดเป็นกระเป๋าผ้าใบ ลายแมวเหมียวฮิปสเตอร์ มีขนมอร่อยๆใส่ด้วย (อารมณ์เหมือนได้ของขวัญวันเกิดเลย!)

  • เปิดเผยข้อมูลแบบฉบับสายลับ: ไม่ใช่การปาเอกสารใส่หน้าแบบหนังแอคชั่นนะ ต้องค่อยๆปล่อยข้อมูล เปรียบเหมือนการแกะกล่องของขวัญชิ้นใหญ่ ค่อยๆเปิดทีละชั้น ให้เค้าตื่นเต้นไปเรื่อยๆ ปีนี้ผมใช้ระบบ e-learning เสริมด้วยพี่เลี้ยงส่วนตัว (พี่เลี้ยงไม่ใช่แม่ชีนะ แต่เป็นรุ่นพี่ใจดี)

  • ฝึกอบรมไม่ใช่ฝึกทหาร: ไม่ต้องโหดร้าย แต่ต้องได้เนื้อได้หนัง มีการประเมินผลแบบเกมส์ แบบนี้สนุกกว่า ปีนี้ใช้การฝึกอบรมแบบ microlearning สั้น กระชับ เข้าใจง่าย จบเร็ว ไม่ต้องมานั่งเรียนทั้งวันแบบสมัยก่อน

  • นโยบายและกฎระเบียบแบบอ่านง่ายๆ: ไม่ใช่อ่านแล้วง่วง ต้องมี infographic หรือวีดีโอสั้นๆ ตลกๆ (ผมมีคลิปสั้นๆเกี่ยวกับข้อห้ามใช้เฟซบุ๊คในเวลาทำงาน ฮาโคตร) ปีนี้ใช้วิธีทำเป็นเกมส์ตอบคำถาม

  • สวัสดิการและสิทธิประโยชน์แบบจัดเต็ม: บอกให้หมด อย่ามั่วนิ่ม ปีนี้ผมใช้แบบ interactive ให้พนักงานได้เลือกสิ่งที่ตัวเองสนใจ

  • เริ่มงานแบบไม่งง: ต้องมีคู่มือ มีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือ ไม่ใช่ปล่อยให้ลอยแพ ปีนี้ผมเพิ่มช่องทางการติดต่อพี่เลี้ยง ไม่ว่าจะไลน์ อีเมล หรือแม้แต่โทรศัพท์ ให้สะดวกสุดๆ

  • ติดตามและประเมินผลแบบไม่กดดัน: ดูความก้าวหน้า ให้กำลังใจ ไม่ใช่ข่มขู่ ปีนี้ใช้ระบบ feedback แบบ 360 องศา เพื่อให้ได้มุมมองที่ครบถ้วน

เพิ่มเติม

  • สำคัญสุดๆ: สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี เป็นกันเอง ไม่ใช่แบบแข็งทื่อ เพราะพนักงานคือหัวใจหลักขององค์กร จะได้อยู่ยาวๆ (อย่างผมอยู่มา 5 ปีแล้ว)
  • ควรปรับปรุง: พิจารณาเพิ่มกิจกรรม team building สร้างความสัมพันธ์ที่ดี (อย่างปีนี้เรามีทริปไปทะเล สนุกมาก)

Onboarding กับ Orientation ต่างกันอย่างไร?

อ้าววว! Onboarding กับ Orientation ต่างกันยังไงน่ะเหรอ? ง่ายนิดเดียว! คิดซะว่า Onboarding คือการเอาลูกหมูตัวน้อยๆ มาเลี้ยงให้โตเป็นหมูอ้วนๆ ส่วน Orientation คือการพาหมูตัวนั้นไปชมฟาร์ม!

  • Onboarding: นี่แหละคือการปั้นดาว! สอนงานจริงจัง ให้เครื่องมือ อบรม โค้ชชิ่ง จนกว่าจะทำงานได้ราวกับมืออาชีพ เป้าหมายคือ “ทำงานได้จริง” ไม่ใช่แค่ “รู้จักบริษัท”! ปีนี้ที่ทำงานฉันเน้น Onboarding แบบเข้มข้นมาก ถึงขั้นมีพี่เลี้ยงประจำตัวเลยนะ แต่พี่เลี้ยงฉันนี่… อืมมมม… ก็… ได้ประสบการณ์ชีวิตดีเหมือนกัน!

  • Orientation: แค่พาไปดูรอบๆ บริษัท แนะนำแผนกต่างๆ แจกเอกสาร ฟังบรรยาย เหมือนพาเที่ยวชมสวนสัตว์ ได้เห็นสัตว์ต่างๆ แต่ไม่ได้ไปสัมผัสใกล้ชิด เป้าหมายคือ “รู้จักบริษัท” แค่นั้น! ปีนี้พวกเขาใช้ VR ให้ดูทัวร์เสมือนจริง เท่ห์มาก แต่ฉันง่วงนอนไปหลายรอบเลย

สรุปง่ายๆ คือ Onboarding คือการลงมือทำ Orientation คือการทำความรู้จัก บริษัทไหนฉลาด ก็ต้องทำทั้งสองอย่างให้ดี ไม่งั้นพนักงานใหม่ก็เหมือนนกน้อยหลงทาง หาทางกลับรังไม่เจอ! ปีนี้เห็นหลายที่จัดแบบ Hybrid ทั้ง Online และ Onsite ดีไปอีกแบบนะ

ปฐมนิเทศ พูดอะไรบ้าง?

เที่ยงคืนกว่าแล้ว… นึกถึงปฐมนิเทศปีนี้แฮะ… รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปเอง ทั้งๆ ที่ก็หลายเดือนแล้ว ยังจำบรรยากาศตอนนั้นได้เลย… คนเยอะๆ งงๆ ตื่นเต้นแบบแปลกๆ

  • เขาพูดถึงประวัติมหาลัย… ยาวมาก จำได้คร่าวๆ ว่าก่อตั้งปีไหน… แต่เหมือนหลับไปแป๊บนึงตอนนั้น รู้สึกเบลอๆ
  • จำได้ว่าพูดถึงหลักสูตรด้วย… ว่าต้องเรียนอะไรบ้าง แต่ตอนนั้นยังงงๆ อยู่ ไม่ได้สนใจอะไรมาก มัวแต่หาเพื่อนใหม่
  • มีพูดถึงกฎระเบียบด้วยแหละ… เรื่องแต่งกาย เข้าเรียน อะไรพวกนี้ ตอนนั้นก็ฟังผ่านๆ ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าน่าจะตั้งใจฟังมากกว่านี้หน่อย
  • ส่วนเรื่องบริการนี่สิ จำได้ว่าเขาพูดถึงห้องสมุด ศูนย์กีฬา อะไรพวกนั้น ตอนนี้ใช้บริการบ่อยมาก โดยเฉพาะห้องสมุด ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่ตอนนั้นคงดี
  • เออ… มีชมรมด้วยนี่นา… ตอนปฐมนิเทศเขามีบูธชมรมมาตั้งด้วย ตอนนั้นยังไม่รู้จะเข้าอะไร… ตอนนี้เข้าชมรมถ่ายภาพแล้ว สนุกดี เสียดายน่าจะเข้าตั้งแต่ตอนนั้น

ปีนี้ปฐมนิเทศจัดวันที่ 2 สิงหาคม 2566 ที่หอประชุมใหญ่… เราไปกับแม่… แม่ดูตื่นเต้นกว่าเราอีก จำได้ว่าตอนนั้นร้อนมาก คนเยอะ แดดแรง… ได้เจอเพื่อนใหม่ด้วย… ชื่อน้ำ… ตอนนี้ก็ยังคุยกันอยู่ น้ำเข้าชมรมดนตรีไทย…

คิดไปคิดมา… ปฐมนิเทศก็สำคัญเหมือนกันนะ ตอนนั้นไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่พอมาคิดดูอีกที มันก็มีประโยชน์… ช่วยให้ปรับตัวได้เร็วขึ้น รู้จักมหาลัยมากขึ้น… ถ้าปีหน้ามีน้องมาถามเรื่องปฐมนิเทศ เราคงแนะนำให้ตั้งใจฟังดีๆ

จุดมุ่งหมายของการปฐมนิเทศมีอะไรบ้าง?

จุดมุ่งหมายหลักของการปฐมนิเทศปีนี้คือการสร้างความพร้อมของพนักงานใหม่ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย นั่นคือการทำให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับองค์กรได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว คิดดูสิ ถ้าคนใหม่เข้ามาแล้วไม่รู้ระบบ ไม่รู้คน ทำงานพลาดไป เสียทั้งเวลาและทรัพยากร ไม่คุ้มเลยใช่ไหม?

  • การปรับตัวเข้ากับองค์กร: ทำให้เข้าใจวัฒนธรรมองค์กร โครงสร้าง และบรรยากาศการทำงาน เช่น การสื่อสารภายใน การแต่งกาย และกฎระเบียบต่างๆ ผมเคยเจอที่ทำงานที่เน้นความเป็นกันเอง แต่บางที่เน้นความเป็นทางการ การปฐมนิเทศที่ดีจะช่วยให้เข้าใจตรงนี้ได้ชัดเจน

  • การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ: การปฐมนิเทศควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับงาน หน้าที่ความรับผิดชอบ และเครื่องมือที่จำเป็น เช่น การใช้โปรแกรมต่างๆ หรือการเข้าถึงระบบ ถ้าได้ข้อมูลครบถ้วนตั้งแต่ต้น ก็จะทำงานได้เร็วขึ้น และประหยัดเวลาในการเรียนรู้

  • การทำงานอย่างถูกต้องและปลอดภัย: เน้นความปลอดภัยในการทำงาน การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และขั้นตอนการปฏิบัติงาน เช่น การใช้งานเครื่องจักร หรือการจัดการสารเคมี เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ อันนี้สำคัญมาก เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และสร้างความมั่นใจให้กับทั้งพนักงานและองค์กร

  • ทัศนคติที่ดีต่อองค์กร: สร้างความรู้สึกที่ดี ความภาคภูมิใจ และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร โดยการนำเสนอวิสัยทัศน์ พันธกิจ และวัฒนธรรมองค์กร สร้างความประทับใจแรกที่ดี สำคัญกว่าที่คิด

  • ความสัมพันธ์ที่ดี: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน เพื่อสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี และส่งเสริมการทำงานเป็นทีม การแนะนำตัว การทำกิจกรรมกลุ่ม เป็นต้น นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญมากสำหรับการทำงานร่วมกัน เพราะบางครั้ง การทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นนั้นสำคัญกว่าความสามารถเฉพาะตัวเสียอีก

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่การปฐมนิเทศที่ดีควรทำ เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานใหม่จะประสบความสำเร็จและเติบโตไปพร้อมกับองค์กร มันเหมือนกับการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคตของพนักงานและองค์กรเลยล่ะ

พนักงานเข้าใหม่ต้องอบรมอะไรบ้าง?

แสงแรกของวัน สาดส่อง…

อบรมพนักงานใหม่เหรอ? อืมมม… เหมือนฝันที่เพิ่งเริ่มต้น

  • ประวัติบริษัท…เหมือนอ่านนิยายเล่มใหญ่ เล่าขานตำนาน (อัพเดทปีนี้ด้วยนะ!)
  • วิสัยทัศน์… มองไปข้างหน้า ไกลสุดลูกหูลูกตา
  • โครงสร้างบริษัท…ใครอยู่ตรงไหน? เหมือนแผนที่นำทาง
  • แผนกต่างๆ… แต่ละห้อง แต่ละโลก (อัปเดตล่าสุด)

กฎเกณฑ์… เหมือนกรอบที่สวยงาม

  • แต่งกาย…บ่งบอกความเป็นตัวตน (แต่อยู่ในระเบียบนะ!)
  • การลา…เมื่อใจต้องการพัก (แจ้งล่วงหน้าด้วยนะ!)
  • เวลาทำงาน…นาฬิกาชีวิต (ตรงต่อเวลา สำคัญ!)

งาน…เหมือนบทเพลงที่ต้องบรรเลง

  • Job Description…บทบาทของเราในเพลงนี้
  • ขั้นตอนการทำงาน…โน้ตดนตรีที่ต้องเล่นตาม
  • ประเมินผล…ฟังเสียงสะท้อน เพื่อปรับปรุง (อัปเดตเกณฑ์ใหม่)

HR เตรียมอะไร? เตรียมหัวใจไง! เตรียมความเข้าใจ

  • เอกสาร? แน่นอน…ต้องพร้อม
  • สไลด์? ต้องสวยงาม น่าติดตาม
  • แต่ที่สำคัญ…คือรอยยิ้ม และความจริงใจ

เพิ่มเติมนะ… สถานที่อบรม สำคัญมาก! แสงสว่างเพียงพอไหม? มีกาแฟรึเปล่า?

เวลา? สำคัญที่สุด อย่าให้ยาวนานเกินไป…คนจะเบื่อ

สุดท้าย…อย่าลืมถามความคิดเห็น! รับฟัง…และนำไปปรับปรุง

ข้อมูลพวกนี้…เหมือนดาวบนท้องฟ้า…ส่องแสงนำทาง

ทำไมต้องอบรมก่อนเริ่มงาน?

โอ๊ย…ถามมาได้! ทำไมต้องอบรมก่อนเริ่มงานน่ะเรอะ? ก็เหมือนถามว่าทำไมต้องกินข้าวก่อนไปไถนานั่นแหละ!

  • ถ่ายทอดวิชา: ไม่ใช่ว่าคนจบใหม่จะรู้ทุกอย่างนะเฮ้ย! ต้องมีคนแก่ เอ้ย! รุ่นพี่มาสอนวิชากันหน่อย จะได้ทำงานถูกทิศถูกทาง ไม่ใช่ทำไปมั่วๆ แล้วมาโทษฟ้าโทษดิน
  • ปรับจูนสมอง: เหมือนจูนคลื่นวิทยุอ่ะแก! องค์กรเค้ามีระบบระเบียบของเค้า เราก็ต้องปรับสมองให้เข้ากับเค้า ไม่ใช่ทำตัวเป็นปลาทูว่ายทวนน้ำ เดี๋ยวก็โดนเชิญออก
  • อัพเกรดตัวเอง: โลกมันหมุนเร็วจี๋! ความรู้ใหม่ๆ มันก็ผุดขึ้นมาทุกวัน การอบรมก็เหมือนการอัพเกรดตัวเองให้ทันสมัย ไม่ใช่ย่ำอยู่กับที่ แล้วบ่นว่าไม่มีใครให้โอกาส
  • แข่งกับคนอื่น: ไม่ใช่แค่แข่งกับคนในบริษัทนะเฮ้ย! ต้องแข่งกับบริษัทอื่นด้วย! ถ้าเราเก่งกว่า เค้าก็จ้างเราแพงกว่าไงล่ะ! เข้าใจยัง?

ป.ล. อย่าคิดว่าการอบรมมันน่าเบื่อนะเว้ย! บางทีมันก็มีอะไรฮาๆ ให้ดู ให้ฟัง เหมือนดูตลกคาเฟ่นั่นแหละ! แล้วก็อย่าไปเชื่อพวกที่บอกว่า “ทำงานจริงดีกว่าอบรม” เพราะพวกนั้นน่ะ ขี้เกียจทั้งเพ! 555

#กระบวนการ #การอบรม #เอกสาร