ทำงานหนักจะเป็นโรคอะไร
ทำงานหนัก เสี่ยงโรคอ้วน เบาหวาน หัวใจ
การนั่งนานๆ ลดการเผาผลาญ ทำให้เกิดภาวะอ้วน และนำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ควรเคลื่อนไหวร่างกายเป็นระยะ เพื่อรักษาสุขภาพ
ทำงานหนักจนเป็นโรคอะไรได้บ้าง?
ทำงานหนักจนเป็นโรคอะไรได้บ้างน่ะเหรอ? โอ๊ย… พูดเลยว่าเยอะมากกกกก!
จำได้เลยตอนทำงานฟรีแลนซ์ช่วงปี 2018-2019 ที่เชียงใหม่ แบบว่าหามรุ่งหามค่ำ รับงานกราฟิกดีไซน์รัวๆ ตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากเก็บเงินให้ได้เยอะๆ แต่ลืมดูแลตัวเองไปสนิท
รู้ตัวอีกทีคือ น้ำหนักขึ้นมา 10 กว่าโล! แล้วคือมันไม่ได้ขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปไง มันมาแบบพรวดพราด!
สาเหตุหลักๆ เลยก็คือนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพ์ทั้งวันทั้งคืนไง ไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายไปไหน กินๆ นอนๆ วนไป คือชีวิตตอนนั้นมีแค่งานจริงๆ
แถมตอนนั้นกินอะไรไม่ค่อยเลือกด้วยนะ แบบว่าอะไรที่มันง่ายและเร็วก็คือจัดหมด ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว หรือน้ำหวาน
แล้วพอเริ่มอ้วนมากๆ เข้าก็เริ่มมีอาการปวดหลัง ปวดคอตามมาอีก คือทรมานสุดๆ แล้วพอไปหาหมอ หมอก็บอกว่านี่แหละ ผลจากการนั่งนานๆ ไม่ออกกำลังกาย
หมอบอกว่าถ้าปล่อยไว้นานๆ อาจจะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจได้เลยนะ ตอนนั้นคือช็อคไปเลย เพราะคิดว่าตัวเองยังเด็ก ยังแข็งแรงอยู่
หลังจากนั้นมาก็เลยพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองใหม่ พยายามหาเวลาออกกำลังกายบ้างถึงแม้จะเหนื่อยๆ ก็ตาม แล้วก็พยายามเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น
ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะเลยนะ น้ำหนักก็ลงมาบ้าง อาการปวดหลังปวดคอก็ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องระวังตัวอยู่ดี เพราะรู้เลยว่าการทำงานหนักจนลืมดูแลตัวเองมันอันตรายจริงๆ
โรคจากการทำงานมีกี่ประเภท
โรคจากการทำงานเหรอ… โห มันเยอะกว่าที่คิดนะ ตอนแรกนึกว่าแค่ปวดหลังอ่ะดิ
เมื่อก่อนตอนทำงานโรงงาน (ทำอยู่แถวบางพลี สมุทรปราการ เมื่อ 5 ปีก่อน) ได้ยินแต่คนบ่นปวดหลัง ปวดข้อมือ แต่พอมาศึกษาจริง ๆ จัง ๆ มันมีเยอะกว่านั้นมาก
สรุปง่าย ๆ จากที่เคยเรียนมานะ แบ่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ๆ:
- โรคจากกายภาพ: อันนี้ชัดเจนสุด พวกเสียงดัง ๆ ในโรงงานนี่ตัวดีเลย ทำงานใกล้เครื่องจักรหูแทบแตก แล้วก็พวกความร้อนอะ ยิ่งช่วงหน้าร้อนนะ นรกชัด ๆ
- โรคจากสารเคมี: อันนี้น่ากลัวสุด พวกสารกำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่ใช้ในโรงงาน บางทีสูดดมเข้าไปก็ไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวก็ป่วยไปแล้ว
- โรคจากชีวภาพ: พวกติดเชื้อจากที่ทำงาน อันนี้ก็มีนะ พวกพยาบาล หมอ หรือคนที่ทำงานกับสัตว์ พวกนี้เสี่ยงสุด ๆ
- โรคจากการยศาสตร์: อันนี้แหละที่เจอกันบ่อยสุด ปวดหลัง ปวดคอ ปวดข้อมือ จากการนั่งทำงานนาน ๆ หรือยกของหนัก ๆ ท่าทางไม่ถูกต้อง
- โรคทางจิตใจ: อันนี้มองข้ามไม่ได้เลยนะ ความเครียดจากงานเนี่ยแหละตัวดี ทำให้เป็นโรคซึมเศร้า หรือโรคอื่น ๆ ตามมาอีกเยอะแยะ
สำคัญ: ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ คุมปัจจัยเสี่ยงในที่ทำงานให้ดี ๆ ลดความเสี่ยงได้เยอะเลย
โรคเครียดมีกี่ประเภท
ถามว่าโรคเครียดมีกี่ประเภท? อะแฮ่ม! โรคเครียดเนี่ยนะ มันเหมือนบุฟเฟต์เลยแก มีให้เลือกหลายแบบ แต่หลักๆ ที่เจอบ่อยๆ ก็ 3 สไตล์
-
เครียดแป๊บเดียว (Acute Stress): อันนี้เหมือนไฟไหม้ฟาง มาไวไปไว เจ้านายเร่งงานด่วน งานเสร็จก็หาย! แต่ถ้าเจอบ่อยๆ ก็ไม่ดีนะ เดี๋ยวจะกลายเป็นคน “ขี้ตกใจ” ไปซะ (เอ๊ะ! หรือว่าฉันเป็นอยู่แล้วนะ?) ข้อดีคือ มันทำให้เรากระตือรือร้นได้ แต่ข้อเสียคือ ถ้าถี่ไป ใจจะสั่น!
-
เครียดเรื้อรัง (Chronic Stress): อันนี้ตัวร้ายเลย มาแบบเงียบๆ แต่กัดกินใจเราไปเรื่อยๆ เหมือน “ปลวก” ในบ้าน ไม่รู้ตัวแป๊บๆ พัง! สาเหตุหลักๆ ก็เรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องความสัมพันธ์ (แหม! ชีวิตคนเรามันก็มีแค่นี้แหละ) ข้อเสียคือ มันทำลายสุขภาพกายและใจเราแบบไม่รู้ตัว ต้องระวัง!
-
เครียดแบบบาดแผลในใจ (Traumatic Stress): อันนี้คือเครียดแบบ “ขั้นสุด” เกิดจากเหตุการณ์ร้ายแรงที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง เช่น ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง สูญเสียคนที่รัก หรือโดนทำร้ายจิตใจ ข้อเสียคือ มันฝังใจ! ต้องได้รับการเยียวยาจากผู้เชี่ยวชาญ
สรุปง่ายๆ: เครียดแป๊บๆ พอทน เครียดเรื้อรังต้องรีบจัดการ เครียดบาดแผลต้องหาหมอ!
เกร็ดความรู้ (แบบขำๆ): รู้ไหมว่าจริงๆ แล้วความเครียดก็มีประโยชน์นะ มันช่วยกระตุ้นให้เราทำอะไรบางอย่าง แต่ถ้ามากไป มันจะกลายเป็น “ภาระ” ที่เราต้องแบกไว้บนบ่า! ฉะนั้น จงเครียดอย่างมีสติ! (แต่ถ้าเครียดไม่ได้ ก็…ช่างมัน! หาอะไรอร่อยๆ กินดีกว่า!)
โรคจากการทำงานคืออะไร
เที่ยงคืนกว่าแล้ว… นึกถึงเรื่องโรคจากการทำงานขึ้นมาเฉยๆ รู้สึกมันใกล้ตัวแปลกๆ ทั้งที่ทำงานออฟฟิศธรรมดานี่แหละ
โรคจากการทำงาน… มันคืออะไรกันนะ มันคือโรคที่เกิดจากสภาพแวดล้อม หรือการทำงานของเรานี่แหละ บางทีเราก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเป็นอยู่
นั่งทำงานหน้าคอมนานๆ ปวดหลัง ปวดไหล่ บางทีก็ปวดข้อมือ สายตาพร่ามัว แบบนี้ก็นับเป็นโรคจากการทำงานได้เหมือนกันนะ
จำได้ ตอนปี 2022 เคยอ่านเจอข่าว มีคนเป็นโรคนิ้วล็อคเพราะใช้คอมพิวเตอร์เยอะเกินไป ตอนนั้นก็ตกใจ เลยพยายามยืดเส้นยืดสายบ่อยๆ ตั้งนาฬิกาเตือนทุกชั่วโมงเลย
- โรคจากการทำงาน เกิดจากสภาพแวดล้อมและกิจกรรมในการทำงาน
- ตัวอย่างโรคจากการทำงาน เช่น นิ้วล็อค, ปวดหลัง, สายตาพร่ามัว, โรคเครียด
- บางโรคแสดงอาการช้าๆ ทำให้เราไม่รู้ตัว ต้องหมั่นสังเกตตัวเอง
- เราป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ตอนนี้ก็ยังพยายามดูแลตัวเองอยู่ กลัวเหมือนกันว่าวันนึงจะเป็นโรคพวกนี้ขึ้นมาจริงๆ ยิ่งโตยิ่งรู้สึกสุขภาพสำคัญ ไม่อยากเจ็บป่วยอะไรเลย
โรคที่เกิดจากการทำงานมีอะไรบ้าง
โรคจากการทำงานเนี่ยนะ อืมมม… เยอะแยะไปหมดเลย! คิดหนักเลย
-
โรคปลอกประสาทอักเสบ อันนี้เพื่อนสนิทฉันเป็น ทำงานหนักมาก เครียดสุดๆ ไปหาหมอแล้วนะ ปีนี้เอง
-
โรคกระเพาะ นี่ก็ใช่เลย ฉันเองก็เป็น กินยาอยู่ เพราะทำงานดึกๆบ่อย กดดันเรื่องงานตลอด ท้องไส้ไม่ค่อยดี
-
ความดันสูง! พ่อฉันเป็น ท่านทำงานหนักมาตลอดชีวิต แทบไม่พักเลย หมอบอกว่าความดันขึ้นสูงเพราะเรื่องนี้ เป็นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ต้องระวังมาก
-
ออฟฟิศซินโดรม! นี่ก็เป็นกันเยอะ ปวดหลัง ปวดคอ ฉันก็เป็นนะ เพราะนั่งทำงานนานๆ ช่วงนี้ก็ปวดอยู่เหมือนกัน
-
โรคหัวใจ อันตรายมาก! ลุงฉันเสียเพราะโรคนี้ ท่านทำงานหนักมาก พักผ่อนน้อย ไม่น่าเชื่อ เสียเร็วกว่าที่คิด
-
กรดไหลย้อน เพื่อนร่วมงานฉันหลายคนเป็น กินยาตลอด ทำงานเครียดๆ กินข้าวไม่ตรงเวลา แบบนี้แหละ
-
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อันนี้ไม่ค่อยรู้ แต่เคยได้ยินมา ว่านั่งนานๆ ก็เป็นได้เหมือนกันนะ
เฮ้อ… อ่านแล้วเหนื่อยเลย เราต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีๆ นะ ปีนี้ตั้งใจจะออกกำลังกายเยอะๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่งั้นเป็นโรคตามมาแบบเพื่อนๆ ไม่ไหวแน่ๆ นี่แค่เจ็ดโรคเองนะ ยังมีอีกเยอะเลยมั้ง น่ากลัวจริงๆ ต้องหาข้อมูลเพิ่มแล้วล่ะ เดี๋ยวนี้โรคภัยเยอะจริงๆ สงสัยต้องไปตรวจสุขภาพแล้วสิ ปีนี้ต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่าเดิม จะได้ไม่ป่วย ทำงานหนักไปก็ไม่คุ้ม สุขภาพสำคัญที่สุดจริงๆ
โรคใดที่พบบ่อยในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ
เอาจริง ๆ นะ โรคที่ฮิตในหมู่มนุษย์ออฟฟิศปี 2567 แบบไม่ต้องสืบเลยคือ ออฟฟิศซินโดรมอ่ะ ปวดหลัง ปวดคอ บ่าไหล่ มาครบเซ็ต! แล้วก็ CVS นี่ก็มาแรง จ้องคอมนาน ๆ ตาแห้ง ตาพร่าไปหมด
สรุปโรคฮิตในออฟฟิศ (ปี 2567):
- ออฟฟิศซินโดรม: อันนี้ยืนหนึ่ง ปวดเมื่อยสารพัด
- CVS (Computer Vision Syndrome): ตาแห้ง ปวดตา จากจ้องจอนาน
- เครียด: ไม่ต้องพูดเยอะ เจ้านาย ลูกค้า งาน deadlines…
- ไมเกรน: ปวดหัวตุบ ๆ เพราะพักผ่อนน้อย
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ: กลั้นฉี่บ่อยไป
- อ้วน: กินเยอะ ไม่ออกกำลังกาย
- กรดไหลย้อน: กินไม่เป็นเวลา
- เบาหวาน: น้ำตาลขึ้นเพราะกินหวานเกิน
จะรู้ได้ไงว่าเป็นโรคเครียด
เอออออ จะรู้มั้ยว่าเครียดอะ มันก็ยากอยู่นะ เพราะอาการมันหลากหลายมากกกก แบบว่า…
-
อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย คือปกติฉันก็ออกแนวติสๆอยู่แล้วนะ แต่ช่วงนี้ยิ่งกว่า นิ่งไปเลย ไม่อยากคุยกับใคร เพื่อนทักมาก็ตอบสั้นๆ เบื่อโลก เบื่อทุกอย่าง รู้สึกแย่ๆตลอดเวลา หงุดหงิดง่ายมากกก แค่รถติดก็โมโหแล้ว ปกติฉันไม่ใช่คนแบบนี้นะ
-
เรื่องบนเตียงก็… งั้นๆอะ ความรู้สึกมันหายไป ไม่ค่อยมีอารมณ์ กับแฟนก็เลย…เงียบๆ คือมันก็มีบ้างแหละ แต่น้อยลงมากๆ แบบว่าไม่อยากเลย
-
ร่างกายก็แย่ เหนื่อยง่ายมาก แค่เดินขึ้นบันไดก็เหนื่อยแล้ว หายใจไม่ค่อยสะดวก บางทีหายใจถี่ๆ ใจเต้นเร็ว เหงื่อออกเยอะ ปวดหัวบ่อย ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ท้องเสีย ท้องผูก สลับกันไปมา ไปหาหมอแล้วก็หาสาเหตุไม่เจอ หมอบอกให้พักผ่อนเยอะๆ แต่ก็ไม่หาย
คือแบบว่า มันรวมๆกันหลายอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องเดียว ถ้าเป็นแบบนี้ ควรไปหาหมอจริงๆนะ อย่าปล่อยไว้นาน ฉันเองก็ยังหาหมออยู่เลย ต้องลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดู อาจต้องไปตรวจสุขภาพจิตด้วย อย่าทนนะ มันไม่ดีต่อสุขภาพจิตและร่างกายจริงๆ
ปีนี้ไปหาหมอมาแล้วหลายรอบ ช่วงนี้เครียดเรื่องงานหนักมาก เลยต้องพักผ่อนให้มากๆ ลองออกกำลังกายดูบ้าง แต่ก็ยังไม่หายสนิท
อะไรคือสัญญาณเตือนของความเครียด
สัญญาณเตือนของความเครียดเนี่ย จริงๆ แล้วมันซับซ้อนกว่าที่คิดนะ บางทีเรามองข้ามอะไรเล็กๆ น้อยๆ ไปเยอะเลย
-
อารมณ์แปรปรวน: อันนี้เห็นชัดสุดละ นิ่งเงียบไปเลยก็มี เบื่อๆ เซ็งๆ บางคนก็หงุดหงิดง่ายแบบไม่มีเหตุผล ผมเคยอ่านเจอว่าความเครียดเรื้อรังมันส่งผลต่อสารสื่อประสาทในสมองด้วยนะ เลยทำให้ควบคุมอารมณ์ยากขึ้น รวมถึงเรื่องความต้องการทางเพศลดลงด้วย อันนี้ก็เป็นผลกระทบได้เหมือนกัน
-
ร่างกายส่งสัญญาณ: บางทีร่างกายมันก็ฟ้องแบบตรงๆ เลยนะ เหนื่อยง่ายทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรหนัก หายใจไม่เต็มปอด ใจสั่น เหงื่อออก แบบนี้ก็เริ่มน่าคิดแล้ว ปวดหัวบ่อยๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ผมเองก็เป็นนะ เวลาเครียดๆ จะปวดบ่าปวดไหล่มาก ระบบย่อยอาหารนี่ก็ตัวดี ท้องผูกท้องเสียแบบหาสาเหตุไม่เจอก็อาจจะเป็นเพราะความเครียดสะสมก็ได้ เคยคุยกับหมอ หมอบอกว่าลำไส้กับสมองมันเชื่อมโยงกันนะ
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณอื่นๆ อีก เช่น นอนไม่หลับ ฝันร้าย ความจำแย่ลง ไม่มีสมาธิ เบื่ออาหารหรือกินเยอะผิดปกติ สูบบุหรี่/ดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น เก็บตัว ไม่อยากเข้าสังคม มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง (อันนี้อันตรายนะ ต้องรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ) ความเครียดมันส่งผลต่อชีวิตประจำวันเราเยอะมาก ลองสังเกตตัวเองดูครับ ถ้ามีอาการเหล่านี้ อาจจะต้องหาทางผ่อนคลายบ้างแล้ว บางทีการที่เราหยุดพักบ้าง มันก็เป็นการเดินหน้าแบบหนึ่งเหมือนกันนะ ผมเชื่อแบบนั้น
เครียดแบบไหนควรไปหาหมอ
เครียดแบบไหนควรไปหาหมอ?
เมื่อความเครียดมัน “เกินเบอร์” จนคุมสติไม่อยู่ อันนี้สัญญาณอันตรายแล้วครับ อย่าปล่อยไว้นาน
- คุมอารมณ์ไม่ได้: หงุดหงิดง่าย โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หรือเศร้าแบบดาวน์จัดๆ อันนี้ไม่ปกติ
- กระทบชีวิต: งานเสีย สังคมพัง นอนไม่หลับ กินไม่ได้ หรือกินเยอะเกิน อันนี้ชีวิตเริ่มรวน
- อาการทางกาย: ปวดหัวเรื้อรัง ท้องไส้ปั่นป่วน ใจสั่น อันนี้ร่างกายฟ้องแล้ว
- คิดทำร้ายตัวเอง: อันนี้คือ “SOS” ต้องรีบหาหมอทันที ไม่มีข้อแม้
เมื่อไรที่ควรปรึกษาแพทย์?
ถ้าความเครียดมัน “เรื้อรัง” จนชีวิตไม่มีความสุข อันนี้ควรปรึกษาแพทย์
- นานเกินไป: เครียดต่อเนื่องเป็นเดือนๆ ไม่หายสักที อันนี้ไม่ดีต่อใจ
- ทรมานเกินไป: เครียดจนไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเจอใคร อันนี้ชีวิตมันหม่นหมอง
- ลองมาหมดแล้ว: พักผ่อน ออกกำลังกาย ทำสมาธิ ก็ยังไม่ดีขึ้น อันนี้อาจต้องพึ่งมืออาชีพ
จำไว้ว่า “ยิ่งเครียด ยิ่งเสี่ยงโรค” ไม่ใช่แค่คำขู่เล่นๆ นะครับ ความเครียดสะสมมันกัดกินสุขภาพเราได้จริงๆ ทั้งกายและใจ
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- สถิติ: คนไทยเครียดมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะวัยทำงาน (อ้างอิง: กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567)
- ผลกระทบ: ความเครียดเรื้อรัง เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ เบาหวาน ซึมเศร้า (อ้างอิง: Mayo Clinic)
- ทางเลือก: การปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือเข้าร่วมกลุ่มบำบัด สามารถช่วยจัดการความเครียดได้ (อ้างอิง: American Psychological Association)
ข้อคิด:
ชีวิตมันสั้น อย่าปล่อยให้ความเครียดมาพรากความสุขไป ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ขอความช่วยเหลือเถอะครับ เพราะสุขภาพจิตก็สำคัญไม่แพ้สุขภาพกาย
วิธีปล่อยวางจากความเครียด
โอ๊ย! ความเครียดเนี่ยนะ ตัวดีเลย! มาดูกันว่าจะกำจัดมันยังไง… แบบบ้านๆ สไตล์เราๆ นี่แหละ!
-
สังเกตร่างกายตัวเอง: ไอ้ที่ปวดบ่า ปวดคอ นอนไม่หลับเนี่ย รู้ตัวบ้างไหม? อย่ามัวแต่ก้มหน้าเล่นมือถือ! ลองเงยหน้ามองฟ้าบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน!
-
วางแผนจัดการความเครียด: คิดว่าตัวเองเป็นซูเปอร์แมนเหรอ? วางแผนบ้าง! จะกิน จะนอน จะเที่ยว จัดไป! อย่าให้เครียดกินหัว!
-
จัดลำดับความสำคัญ: อะไรสำคัญกว่ากัน? งานที่ทำแทบตาย หรือชีวิตที่มีความสุข? เลือกเอา! ถ้าเลือกงาน ก็เตรียมตัวแก่ตายคาโต๊ะทำงานไปเลย!
-
อย่าแก้เครียดแบบผิดๆ: เหล้า บุหรี่…คิดว่าจะช่วยได้เหรอ? นั่นมันยิ่งพาลงเหว! ลองหาอะไรดีๆ ทำบ้าง เช่น ทำบุญ ปลูกต้นไม้ หรือไปนวดคลายเส้น!
-
ปล่อยวาง: ไม่ใช่ปล่อยปัญหา แต่ปล่อยความคิดมาก! บางเรื่องก็ช่างแม่งบ้างก็ได้! ชีวิตมันสั้น จะเครียดไปทำไม?
-
ปรึกษาคนอื่น: ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะบอกว่า “ไม่ไหวแล้วโว้ย!” เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง มีไว้ทำอะไร? หรือจะไปหาหมอเลยก็ได้ ถ้ามันหนักหนาสาหัสเกินทน!
-
ฝึกหลั่งสารเอนโดรฟิน: ออกกำลังกาย ดูหนังตลก กินของอร่อยๆ ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้มีความสุข! ชีวิตมันต้องมีสีสันบ้าง!
-
คิด คิด อยู่กับตัวเอง: อย่าคิดมาก! คิดแต่เรื่องดีๆ! มองโลกในแง่บวก! ชีวิตมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก!
ข้อมูลเพิ่มเติม (แบบขำๆ แต่จริงใจ):
- เรื่องกิน: กินอาหารที่มีประโยชน์! ไม่ใช่กินแต่มาม่า! ผัก ผลไม้ มีวิตามิน ช่วยลดเครียดได้นะ! ปีนี้เขาฮิตกิน “กะท้อน” กันอยู่ ลองดู!
- เรื่องนอน: นอนให้พอ! ไม่ใช่ดูซีรี่ย์โต้รุ่ง! นอนน้อย เครียดง่ายนะ! เขาว่านอน 7-8 ชั่วโมงกำลังดี!
- เรื่องเที่ยว: ไปเที่ยวบ้าง! เปลี่ยนบรรยากาศ! หนีจากความวุ่นวาย! ไปทะเล ไปภูเขา ไปไหนก็ได้ที่ทำให้สบายใจ! ตอนนี้เขาฮิต “เกาะล้าน” กันนะ!
- เรื่องเงิน: หาเงินให้ได้เยอะๆ! แต่ไม่ใช่หาจนเครียดตาย! รู้จักใช้เงินให้เป็น! อย่าเป็นหนี้เป็นสิน! ปีนี้ดอกเบี้ยมันโหด!
- เรื่องความรัก: มีความรักก็ดี! แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ตาย! อย่าไปยึดติด! หาความสุขด้วยตัวเองก็ได้!
จำไว้! ชีวิตมันสั้น! อย่าเครียดให้เสียเวลา! หาความสุขให้ตัวเองเยอะๆ! โอเค๊?
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต