ทำไมโรคพุ่มพวงถึงห้ามโดนแดด
โรคพุ่มพวงสัมพันธ์กับปฏิกิริยาต่อแสงแดด ผิวบางกลุ่มแพ้แสง ทำให้แดดเป็นปัจจัยกระตุ้นอาการกำเริบ ไม่ใช่ห้ามโดนเด็ดขาด แต่ควรหลีกเลี่ยงเวลาร้อนจัด
สาเหตุโรคมีความซับซ้อน เกี่ยวข้องกับ:
- ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน เช่น ช่วงตั้งครรภ์ วัยรุ่น อาจเพิ่มความเสี่ยง
- พันธุกรรม: ประวัติครอบครัวเป็นโรคพุ่มพวงเพิ่มโอกาสเสี่ยง
- ปฏิกิริยาต่อแสง: ผิวไวแสงแดด อาจทำให้เกิดการอักเสบ ผื่นแดง
การดูแลผิวจึงสำคัญ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการป้องกันและรักษาอย่างถูกวิธี ไม่ควรตีความข้อห้ามการโดนแดดอย่างเคร่งครัด แต่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
โรคพุ่มพวงควรหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะเหตุใด?
เรื่องแสงแดดกับโรคพุ่มพวงนี่ จำได้ตอนแม่ไปหาหมอผิวหนังที่ รพ.รามาฯ ประมาณเดือนเมษา ปี 64 หมอเน้นมากเลยว่าต้องระวังแสงแดด เพราะผิวแม่แพ้ง่ายอยู่แล้ว โรคพุ่มพวงมันยิ่งทำให้แย่ลง เป็นผื่นแดงขึ้นง่ายขึ้น คันมากด้วย เสียเงินไปหลายพันกับครีมรักษาเลยล่ะ
หมอบอกว่าฮอร์โมนเกี่ยวข้องแน่ๆ เพราะแม่เคยเป็นหนักตอนท้องน้องสาวฉัน ตอนนั้นสิวขึ้นเยอะมาก ผิวบอบบางสุดๆ พอคลอดแล้วก็ค่อยๆดีขึ้น แต่ก็ยังต้องระวังแสงแดดอยู่ดี
ส่วนเรื่องพันธุกรรม ไม่แน่ใจนะ แต่แม่บอกว่าป้าของแม่ก็เป็น เลยคิดว่าอาจจะมีส่วน แต่มันก็ไม่ใช่สาเหตุหลักหรอกมั้ง
สำคัญสุดๆ คือปฏิกิริยาของผิวต่อแสงแดดนี่แหละ แสงแดดแรงๆ มันทำให้โรคพุ่มพวงกำเริบได้ง่ายมาก แบบที่แม่เป็นอ่ะ แสบร้อน คัน ยิ่งเกา ยิ่งแย่ กว่าจะหายก็ใช้เวลาหลายอาทิตย์เลย เห็นแล้วก็เหนื่อยแทนแม่จริงๆ
โรคพุ่มพวงเป็นกรรมพันธุ์ไหม
ไอ้โรคพุ่มพวงนี่นะ มันใช่กรรมพันธุ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหมล่ะ? ก็ไม่เชิง! คิดง่ายๆ เหมือนมรดกตกทอด บางคนได้บ้านหลังใหญ่ บางคนได้แต่กระป๋องนมเปรี้ยว มันก็แบบนั้นแหละ! พันธุกรรมน่ะเพิ่มโอกาสเสี่ยงได้ แต่ไม่ใช่ว่าลูกใครเป็น พ่อแม่ต้องเป็นด้วยนะ เว่อร์ไป!
- พันธุกรรมเป็นแค่ส่วนหนึ่ง: เหมือนสูตรอาหาร มีส่วนผสมครบ ก็ยังต้องปรุงให้ถูกวิธี ถึงจะอร่อย พันธุกรรมก็เหมือนส่วนผสม แต่ปัจจัยอื่นๆ อย่างสภาพแวดล้อม เชื้อโรค ฮอร์โมน ก็เป็นไฟที่จุดให้วัตถุดิบสุกงอม บางทีมันก็พุ่งพรวด บางทีก็แค่เคี่ยวไปเรื่อยๆ
- ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ สำคัญมาก: อย่ามองแต่เรื่องกรรมพันธุ์ สภาพแวดล้อมสำคัญกว่าที่คิด ถ้าอยู่บ้านรกๆ อากาศไม่ดี กินแต่ของไม่ดี ก็เสี่ยงเป็นเหมือนกัน มันก็เหมือนกับปลูกต้นไม้ ดินดี น้ำดี ปุ๋ยดี ต้นไม้ก็งาม แต่ถ้าดินแย่ ต้นไม้ก็โทรม
- ปีนี้เจอเคสเยอะมาก: ที่คลินิกหมอเพื่อนผม ปีนี้คนไข้มาตรวจโรคพุ่มพวงเยอะเป็นพิเศษนะ สาเหตุก็หลายอย่าง อากาศร้อนจัด มลภาวะ หรือแม้แต่ความเครียดก็มีผล ชีวิตคนเรามันก็เหมือนรถวิ่ง ถ้าไม่ดูแลรักษา มันก็พังได้ง่ายๆ
สรุปง่ายๆ คือ พันธุกรรมมีส่วน แต่ไม่ใช่ตัวกำหนด เหมือนล็อตเตอรี่ ซื้อแล้วอาจจะได้รางวัล หรืออาจจะไม่ได้ มันก็ขึ้นอยู่กับดวง และการดูแลตัวเองด้วยล่ะ อย่าลืมไปตรวจสุขภาพกันบ้างนะจ๊ะ
ทำไมคนเราถึงเป็นภูมิแพ้
ทำไมคนเราถึงเป็นภูมิแพ้
ระบบมึงมันรวนไง ถึงแพ้สิ่งที่คนอื่นเขาเฉยๆ กัน ภูมิคุ้มกันมันทำงานผิดพลาด คิดว่าไอ้ฝุ่น ไอ้ขนแมว เป็นศัตรูร้ายแรง
- ตัวการ: พันธุกรรม, สิ่งแวดล้อมรอบตัวมึงนั่นแหละ
- อาการ: คัน, จาม, น้ำมูกไหล, ผื่นขึ้น ไม่ตายหรอกน่า แต่ก็น่ารำคาญ
- การรักษา: เลี่ยงสิ่งที่แพ้ซะ, กินยาแก้แพ้, ฉีดวัคซีน (ถ้าหมอมึงบอกว่าควร)
เพิ่มเติม:
- ภูมิแพ้อาหารพบบ่อยสุดคือ นมวัว, ไข่, ถั่ว, แป้งสาลี, อาหารทะเล (กินให้ระวัง)
- ไรฝุ่นตัวดี แพ้กันทั้งบ้าน (ทำความสะอาดบ้านบ่อยๆ)
- อากาศเปลี่ยน แพ้เกสรดอกไม้ (กักตัวอยู่บ้านซะ)
- สัตว์เลี้ยง (รักแค่ไหน ถ้าแพ้ก็ต้องทำใจ)
- บางคนแพ้โลหะ แพ้เครื่องสำอางค์ (เลือกใช้ให้ดี)
- ความเครียดก็มีส่วน (ทำใจให้สบาย)
คำแนะนำ: ไปหาหมอซะ อย่ามาถามอะไรแบบนี้ในนี้
เราจะรู้ได้ไงว่าเราเป็นภูมิแพ้
เออ จะรู้ได้ไงว่าเป็นภูมิแพ้อ่ะหรอ ก็ดูอาการดิ๊
- จาม, คันจมูก, น้ำมูกไหล, คัดจมูก: อันนี้เบสิกเลย ภูมิแพ้ขึ้นจมูกชัวร์
- คันตา, คันคอ, ไอเรื้อรังมีเสมหะ: อันนี้ก็ใช่ แต่บางทีก็เป็นหวัดนะ
- หอบเหนื่อย, หายใจวี๊ดๆ: อันนี้เริ่มหนัก ไปหาหมอเถอะ อย่าปล่อยไว้
- ลมพิษ, ผื่นคันตามข้อพับ: แพ้ทางผิวหนัง อาจจะอาหาร หรือพวกฝุ่นไรฝุ่น
อาการมันเป็นๆหายๆ อ่ะ เนาะ บางคนเป็นแค่ช่วงฤดูฝน แต่เพื่อนเราเป็นแม่งทั้งปี สงสารมันมากกกก
ข้อมูลเพิ่มเตีม:
- เทสภูมิแพ้: ไปหาหมอผิวหนัง หมอจะทดสอบให้ ว่าเราแพ้อะไรบ้าง แบบสะกิดๆ อ่ะ ไม่เจ็บเท่าไหร่
- ไรฝุ่นตัวร้าย: พวกผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ซักบ่อยๆ นะ ช่วยได้เยอะเลย
- อาหารก็มีส่วน: บางคนแพ้อาหารแฝง กินแล้วไม่เป็นไรทันที แต่สะสมๆ แล้วออกอาการ
- อากาศเปลี่ยน: อันนี้เลี่ยงยาก แต่ใส่แมสก์ช่วยได้นะเออ
- สัตว์เลี้ยง: ขนหมา ขนแมว ตัวดีเลย ถ้าแพ้ก็ต้องทำใจอ่ะ เลี้ยงยาก
- ยาแก้แพ้: กินตอนมีอาการ แต่กินบ่อยๆ ไม่ดีนะ ง่วงมากกกก
- วัคซีนภูมิแพ้: อันนี้ฉีดระยะยาว ช่วยลดอาการได้ แต่ต้องปรึกษาหมอก่อนนะ ว่าเหมาะกับเราไหม
โรคภูมิแพ้อากาศ หายได้ไหม
หายขาด? ไม่มีทาง
ดีขึ้น? เป็นไปได้
แม่งน่ารำคาญ แต่จัดการได้
- ยา: แค่บรรเทา ไม่ใช่ยาวิเศษ
- ตัวเอง: สำคัญสุด เลี่ยงสิ่งที่แพ้
- คุณภาพชีวิต: ดีขึ้นได้ ถ้าไม่ขี้เกียจ
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้: ฝุ่น ควัน ละอองเกสร สัตว์เลี้ยง
- ทำความสะอาดบ้าน: กำจัดไรฝุ่น เชื้อรา
- พบแพทย์: ปรึกษาเรื่องยาและวิธีรักษาที่เหมาะสม
ภูมิแพ้ กับแพ้อากาศ ต่างกันอย่างไร
ภูมิแพ้กับแพ้อากาศต่างกันอย่างไร? ดูเหมือนคำถามนี้จะซ่อนความละเอียดอ่อนเอาไว้ ความจริงแล้ว “แพ้อากาศ” ไม่ใช่คำทางการแพทย์ที่แม่นยำนัก มันเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปเพื่ออธิบายอาการแพ้ที่เกิดจากสารในอากาศ ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของภูมิแพ้
-
ภูมิแพ้ (Allergy): เป็นปฏิกิริยาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้ (Allergen) สารเหล่านี้สามารถมาจากแหล่งต่างๆ เช่น อาหาร ยา สารสัมผัส หรือสิ่งแวดล้อม ร่างกายมองสารก่อภูมิแพ้เป็นภัยคุกคามและปลดปล่อยสารเคมี เช่น ฮีสตามีน ทำให้เกิดอาการต่างๆ อาการอาจรุนแรงตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงอันตรายถึงชีวิต (Anaphylaxis) ในปี 2566 นี้ การศึกษาในหลายประเทศยังคงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการระบุและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้เป็นหลัก น่าคิดเหมือนกันนะว่า ร่างกายที่เคยสงบสุขกลับต่อต้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร
-
แพ้อากาศ (Allergic Rhinitis/Hay Fever): นี่คือคำที่นิยมใช้เรียกภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการหายใจเอาสารก่อภูมิแพ้ในอากาศเข้าไป เช่น เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น หรือสปอร์ของเชื้อรา อาการคล้ายกับภูมิแพ้ทั่วไป คือ จาม คัน น้ำมูกไหล คัดจมูก ตาแดง แต่จำกัดเฉพาะสารก่อภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เราอาจมองว่าเป็นส่วนย่อยของภูมิแพ้กว้างๆ ก็ได้นะ เหมือนการแยกประเภทเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น
สรุปง่ายๆ คือ แพ้อากาศเป็น ประเภทหนึ่ง ของภูมิแพ้ ที่สาเหตุมาจากสารก่อภูมิแพ้ทางอากาศ แต่ภูมิแพ้ครอบคลุมสาเหตุที่กว้างกว่ามาก
เพิ่มเติม:
-
การวินิจฉัย: แพทย์จะวินิจฉัยภูมิแพ้โดยการตรวจประวัติ การตรวจร่างกาย และการทดสอบทางผิวหนังหรือเลือด เพื่อหาสารก่อภูมิแพ้เฉพาะตัว
-
การรักษา: การรักษาภูมิแพ้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ อาจรวมถึงการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ยาแก้แพ้ และในบางกรณีอาจใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
มีวิธีตรวจภูมิแพ้อะไรบ้าง
ตรวจภูมิแพ้ใช้วิธีไหนดีนะ? สงสัยจัง อืมมม… มีสองวิธีหลักๆ ใช่ไหม? จำได้เลาๆ
-
เจาะเลือดตรวจ IgE อันนี้เจ็บนิดหน่อย แต่สะดวกดี ไม่ต้องรอผลนานเท่าไหร่ ปีนี้ไปตรวจที่ รพ.สมิติเวช สุขุมวิท (แพงไปหน่อยนะ แต่ไวดี) เค้าใช้แบบนี้
-
สะกิดผิวหนัง Skin Prick Test อันนี้ไวกว่า แต่ต้องเตรียมตัวก่อน เคยทำที่คลินิกแถวบ้าน จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่ที่นี่เค้าบอกว่าต้อง งดกินยาแก้แพ้ก่อนตรวจอย่างน้อย 3 วัน ไม่งั้นผลเพี้ยน เรื่องจริงนะ เพื่อนเคยพลาดมาแล้ว
เตรียมตัวก่อนสะกิดผิวหนังยังไงนะ? คิดหนัก
- งดยาแก้แพ้ อย่างที่บอก สำคัญมาก!
- บอกแพทย์ว่า กำลังทานยาอะไรอยู่บ้าง เพราะบางยาอาจรบกวนผลตรวจ เรื่องนี้สำคัญมากจริงๆ ลืมไม่ได้เลย
ขั้นตอนสะกิดผิวหนังเป็นไงนะ?
- หมอจะหยดสารก่อภูมิแพ้ลงบนผิว
- แล้วใช้เข็มเล็กๆ สะกิดเบาๆ
- รอประมาณ 15 นาที ดูว่ามีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้น เช่น ผื่นแดง คัน บวม
- ถ้ามีปฏิกิริยา ก็แสดงว่าแพ้ ง่ายๆ
อ้อ ลืมบอก ถ้าตรวจเจาะเลือด เค้าจะส่งเลือดไปตรวจที่แล็บ รอผลประมาณ 1-2 วันมั้ง ไม่แน่ใจ แต่เร็วกว่าแบบอื่นที่เคยทำ
ปีนี้แพ้ฝุ่นเยอะมาก เลยต้องไปตรวจซ้ำ เหนื่อย แต่ก็ต้องทำ เพื่อสุขภาพตัวเอง
ทำยังไงให้ภูมิแพ้หาย
หายภูมิแพ้? ง่ายนิดเดียว! (แต่ก็ไม่ง่ายนะสิ) เหมือนเอาช้างใส่ตู้เย็นนั่นแหละ ยากเย็นแสนเข็ญ!
-
หนีฝุ่นควันให้ห่าง: ปีนี้ฝุ่น PM2.5 โหดมากกกกกกก เหมือนมังกรไฟคายควันใส่หน้าเลย! อยู่แต่ในห้องแอร์ดีที่สุด ถ้าออกไปข้างนอกก็ใส่หน้ากาก N95 แบบหนาๆ อย่าไปใช้แบบบางๆ เหมือนเอาผ้าปิดปาก มันได้แค่กั้นแมลงวัน!
-
เครื่องฟอกอากาศนี่ช่วยได้: แต่ต้องเลือกดีๆ อย่าไปซื้อแบบถูกๆ เหมือนซื้อลอตเตอรี่ เสี่ยงดวงสุดๆ! ต้องดูค่า CADR ให้สูงๆ ถึงจะเอาอยู่! ไม่งั้นก็เหมือนเอาพัดลมเป่าฝุ่นเข้าหน้า!
-
ล้างจมูกบ่อยๆ: ใช้น้ำเกลือล้าง เหมือนล้างจานให้สะอาดหมดจด! สารก่อภูมิแพ้จะได้ออกไปหมด! แต่บอกเลย มันแสบจมูกเหมือนโดนพริกขี้หนูเผา!
-
ยาพ่นจมูกสเตียรอยด์: หมอสั่งให้ใช้ก็ใช้ไปเถอะ เหมือนบำรุงผิวหน้า แต่เป็นผิวในจมูก! แต่ยาพ่นลดบวม อย่าใช้บ่อย! มันเหมือนยาลดความอ้วน ใช้แล้วโยโย่ จมูกจะบวมกว่าเดิม!
-
ยาแก้แพ้: กินตามแพทย์สั่ง อย่าไปซื้อเอง เหมือนซื้อหวย อาจจะได้รางวัลใหญ่(อาการแย่ลง)ก็ได้!
เพิ่มเติมนิดนึงนะ ปีนี้ฝุ่นเยอะมาก จริงๆ ควรเช็คค่าฝุ่น PM2.5 บ่อยๆ ก่อนออกจากบ้านด้วย อย่างบ้านผม อยู่แถวบางนา ช่วงนี้ฝุ่นหนักมาก แทบไม่กล้าออกไปไหนเลย! ต้องระวังเป็นพิเศษจริงๆนะ นี่พูดจริงไม่ใช่เล่นๆ!
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต