ประจำเดือนมาเยอะขนาดไหนถึงผิดปกติ

ประจำเดือนมาเยอะแค่ไหนถึงเรียกว่าผิดปกติ? อย่ามองข้ามสัญญาณเตือนจากร่างกาย

ประจำเดือนเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของผู้หญิงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่การมีประจำเดือนที่ “เยอะ” มากกว่าปกติ นั้นอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ ไม่ควรมองข้ามและปล่อยไว้จนกระทั่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง แต่คำถามคือ “เยอะ” ในที่นี้คือแค่ไหน?

การประเมินปริมาณเลือดประจำเดือนที่มากผิดปกติ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปริมาณเลือดที่แต่ละคนเสียไปนั้นแตกต่างกันไปตามปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ พันธุกรรม และสุขภาพโดยรวม อย่างไรก็ตาม เราสามารถสังเกตได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน ดังนี้:

• การเปลี่ยนแปลงปริมาณเลือดอย่างฉับพลัน: หากปกติแล้วคุณมีประจำเดือนปริมาณน้อย แต่จู่ๆ ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมาก และมาเป็นเวลานานขึ้น นี่ถือเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ ควรสังเกตและบันทึกปริมาณเลือดที่เสียไป เช่น การใช้ผ้าอนามัยกี่ชิ้นต่อวัน หรือต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ กี่ชั่วโมง

• การใช้ผ้าอนามัยซึมซับสูงอย่างต่อเนื่อง: หากคุณต้องใช้ผ้าอนามัยแบบซูเปอร์ หรือซูเปอร์พลัส และต้องเปลี่ยนทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ตลอดทั้งวัน เป็นเวลาหลายวัน ถือว่าเป็นสัญญาณที่ควรให้ความสำคัญ

• เลือดออกนานเกิน 7 วัน: ประจำเดือนปกติมักจะมาประมาณ 3-7 วัน หากเลือดออกนานกว่านี้ และมีปริมาณมาก ควรปรึกษาแพทย์

• อาการอื่นๆ ร่วมด้วย: นอกจากปริมาณเลือดที่มากผิดปกติแล้ว ควรสังเกตอาการอื่นๆ ที่อาจเกิดร่วมด้วย เช่น ปวดท้องประจำเดือนอย่างรุนแรง มีลิ่มเลือด เลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน มีอาการซีด อ่อนเพลีย หรือเหนื่อยง่าย อาการเหล่านี้บ่งชี้ถึงความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้

สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนมาเยอะผิดปกติ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น:

• ความผิดปกติของฮอร์โมน: เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย เช่น ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล ซึ่งอาจเกิดจากความเครียด การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก หรือโรคต่อมไทรอยด์

• เนื้องอกในมดลูก: เช่น เนื้องอกในมดลูกหรือมดลูกโต อาจทำให้มีเลือดออกมากผิดปกติ

• โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด: การแข็งตัวของเลือดผิดปกติอาจทำให้เลือดออกมากและหยุดยาก

• โรคเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์: เช่น การอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก หรือโรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์อื่นๆ

อย่ารอจนสายเกินแก้! หากคุณสังเกตเห็นอาการประจำเดือนมาเยอะผิดปกติ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และให้การรักษาที่เหมาะสม การตรวจรักษาอย่างทันท่วงที จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ภาวะโลหิตจาง หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่ร้ายแรงกว่า

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ กรุณาปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ