ผู้ป่วยเบาหวานอาการแบบไหนอันตราย
อาการเบาหวานที่อันตราย ได้แก่ น้ำตาลในเลือดสูงอย่างฉับพลัน ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียอย่างมาก คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก และมีการเปลี่ยนแปลงระดับความรู้สึกตัว รวมถึงซึมลงหรือหมดสติ นอกจากนี้ แผลที่หายช้า หรือการติดเชื้อเรื้อรัง ก็เป็นสัญญาณที่ต้องระมัดระวังด้วย
อาการเบาหวานที่บอกว่าถึงเวลาต้องรีบพบแพทย์
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง แม้ว่าหลายคนอาจคุ้นเคยกับอาการเบาหวานทั่วไป เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก หรือน้ำหนักลด แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีอาการบางอย่างที่บ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อนอันตราย และจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน การรู้จักสังเกตอาการเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานและป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
อาการเบาหวานที่ถือว่าอันตรายและต้องการการรักษาพยาบาลโดยด่วนนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเท่านั้น แต่รวมถึงสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการทำงานของอวัยวะต่างๆ ที่ผิดปกติ อาการเหล่านี้มีดังนี้:
1. ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอย่างเฉียบพลัน (Hyperglycemic Crisis) หรือ Ketoacidosis (ภาวะคีโตซิโดซิส) และ Hyperosmolar Hyperglycemic State (ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับภาวะขาดน้ำ): นี่คือภาวะอันตรายถึงชีวิต เกิดจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างเพียงพอ ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันแทน ส่งผลให้เกิดสารคีโตนสะสมในเลือด ซึ่งเป็นกรดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อาการที่พบได้บ่อยคือ:
- อ่อนเพลียอย่างมาก: เหนื่อยล้าอย่างผิดปกติ มากกว่าอาการเหนื่อยล้าทั่วไป
- คลื่นไส้ อาเจียน: อาจมีอาการรุนแรงจนไม่สามารถรับประทานอาหารได้
- หายใจลำบาก: เนื่องจากร่างกายพยายามกำจัดกรดคีโตนออกจากร่างกาย
- ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมาก: ร่างกายพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ
- กระหายน้ำมาก: ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง
- ผิวแห้งและปากแห้ง: เป็นผลมาจากการขาดน้ำ
- สับสน มึนงง หรือหมดสติ: เกิดจากภาวะขาดน้ำและความผิดปกติของสมดุลอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย
ในกรณีนี้ จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนด้วยการให้สารน้ำและอินซูลินทางหลอดเลือดดำ การชักช้าอาจนำไปสู่ภาวะโคม่าและเสียชีวิตได้
2. แผลที่หายช้าหรือติดเชื้อเรื้อรัง: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ส่งผลให้แผลเล็กๆ น้อยๆ หายยาก และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย แผลที่ติดเชื้ออาจลุกลามอย่างรวดเร็วและอาจจำเป็นต้องผ่าตัด อาการที่ควรระวัง ได้แก่ แผลบวม แดง ร้อน มีหนอง และมีกลิ่นเหม็น
3. อาการทางระบบประสาท: โรคเบาหวานสามารถทำลายเส้นประสาทได้ ส่งผลให้เกิดอาการชาหรือปวดที่มือและเท้า ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก ท้องเสีย และความผิดปกติของการทำงานของอวัยวะอื่นๆ เช่น ไต หัวใจ และดวงตา
4. การเปลี่ยนแปลงการมองเห็น: ระดับน้ำตาลในเลือดสูงสามารถทำลายหลอดเลือดฝอยในเรตินา ทำให้เกิดโรคตาเบาหวาน ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้
หากพบอาการใดๆ ดังกล่าวข้างต้น ควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด การตรวจรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่าละเลยอาการที่ผิดปกติ เพราะสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
#ภาวะแทรกซ้อน#อาการร้ายแรง#เบาหวานข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต