ไข้เลือดออกตรวจแลปอะไรบ้าง
ตรวจหาไข้เลือดออก: แล็บสำคัญ
การตรวจหาไข้เลือดออกเบื้องต้นคือการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อดูปริมาณเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสังเกตปริมาณเกล็ดเลือดที่ต่ำผิดปกติ และความเข้มข้นของเลือดที่สูงขึ้น ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการรั่วของสารน้ำออกจากหลอดเลือด อันเป็นอาการสำคัญของโรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออกต้องตรวจแล็บอะไรบ้าง? มีรายการตรวจอะไรที่ช่วยยืนยันผลและติดตามอาการของโรคนี้?
เอาจริงๆ นะ ตอนเป็นเด็กๆ ฉันเคยเป็นไข้เลือดออก จำได้ว่าทรมานมากกกกกก (ก.ไก่ล้านตัว) ต้องนอนโรงพยาบาลหลายวันเลย 🥲
เท่าที่จำได้ตอนนั้น หมอจะเจาะเลือดไปตรวจหลายอย่างเลยนะ เพื่อดูว่าใช่ไข้เลือดออกจริงๆ รึเปล่า แล้วก็ดูอาการโดยรวมของเราด้วย
เท่าที่รู้หลักๆ เค้าจะ ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อดูพวกเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด อะไรพวกนี้แหละ ถ้าเกล็ดเลือดต่ำๆ เนี่ย น่าจะใช่เลย
แล้วก็เหมือนจะมีการ วัดความเข้มข้นของเลือด ด้วยนะ ถ้าเลือดข้นๆ ก็แสดงว่าน้ำมันรั่วออกจากเส้นเลือด (อันนี้ฟังดูน่ากลัวนะ แต่คืออาการของไข้เลือดออกจริงๆ)
จำได้ว่าตอนนั้นที่นอน รพ. กรุงเทพ (น่าจะปี 2545 ได้มั้ง) ค่าใช้จ่ายก็…เยอะเอาเรื่องอยู่ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ราคาเท่าไหร่แล้วนะ 😅
ตรวจเลือดไข้เลือดออก ตรวจอะไรบ้าง
ตอนเป็นไข้เลือดออกปีที่แล้ว (2566) ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ หมอจับตรวจเลือดหลายอย่างเลย
- CBC (Complete Blood Count): อันนี้แหละ สำคัญสุด เช็คความสมบูรณ์เม็ดเลือด เกล็ดเลือดต่ำปี๊ด! หมอบอกไข้เลือดออกชัวร์
คือตอนนั้นตัวร้อนจี๋ ปวดหัวแบบจะระเบิด พะอืดพะอม ไม่อยากกินอะไรเลย แล้วยิ่งรู้ว่าเกล็ดเลือดต่ำ คือใจเสียมาก กลัวเลือดออกไม่หยุด
- Anti-Dengue IgG/IgM: ตรวจหาภูมิต้านทานไข้เลือดออก ดูว่าเป็นมาแล้วกี่ครั้ง (ของผมนี่ครั้งแรกเลย)
- Dengue NS1 Antigen: ตรวจหาโปรตีนไวรัสไข้เลือดออก เจอเร็ว รู้ผลไว หมอจะได้เริ่มรักษา
แล้วมีตรวจอย่างอื่นอีกนะ จำไม่ได้หมด แต่หลัก ๆ คือ 3 อย่างนี้แหละ ตอนนั้นสติไม่อยู่กับตัวเท่าไหร่ ขอโทษทีที่รายละเอียดไม่เป๊ะ 😅
ทำไมไข้เลือดออกต้องให้ 5%DNSS
ไข้เลือดออกกับสารน้ำนี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะครับ การให้ 5%DNSS และประเด็นเรื่องเกล็ดเลือดต่ำนี่ ต้องพิจารณาหลายอย่างประกอบกัน
- 5%DNSS: โดยหลักการแล้วไข้เลือดออกทำให้เกิดภาวะ Plasma Leakage คือ น้ำในเลือดซึมออกไปนอกเส้นเลือด ทำให้ปริมาตรเลือดในระบบไหลเวียนลดลง การให้สารน้ำจึงเป็นการชดเชยส่วนที่ขาดไป แต่ต้องระวังไม่ให้มากเกินไปจนเกิดภาวะน้ำเกิน (Fluid Overload) ซึ่งอันตรายกว่าเดิม
- เกล็ดเลือด: การที่เกล็ดเลือดอยู่ที่ 100,000-120,000 เซลล์/ลบ.มม. บ่งบอกว่าผู้ป่วยอาจกำลังเข้าสู่ระยะวิกฤตจริง ๆ คือ ระยะที่ Plasma Leakage มากที่สุด และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการเสียเลือด
ทำไมต้อง 5%DNSS?: สารน้ำชนิดนี้มีน้ำตาลกลูโคส (Dextrose) 5% เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ที่อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยไข้เลือดออก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก และมีเกลือแร่ (NSS) เพื่อช่วยรักษาสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย
*5%D/N/2 หรือ 5%D/NSS?:* อันนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษาครับ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่โดยทั่วไป ถ้าผู้ป่วยยังไม่มีอาการช็อก หรือภาวะขาดน้ำรุนแรง อาจเริ่มต้นด้วย 5%D/N/2 ก่อนได้ เพราะมีความเข้มข้นของเกลือแร่ต่ำกว่า แต่ถ้าผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำชัดเจน หรือมีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะช็อก การให้ 5%D/NSS อาจเหมาะสมกว่า เพื่อชดเชยปริมาณน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปอย่างรวดเร็ว
Off IV Fluid: การหยุดให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ (IV) ต้องทำอย่างระมัดระวัง เมื่อผู้ป่วยเริ่มดื่มน้ำเกลือแร่ได้ดีขึ้น อาเจียนน้อยลง และไม่มีอาการแสดงของภาวะขาดน้ำ สิ่งสำคัญคือต้องติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และตรวจ CBC (Complete Blood Count) เพื่อดูแนวโน้มของเกล็ดเลือดอย่างสม่ำเสมอ
เกล็ดเลือดต่ำกว่า 100,000 เซลล์/ลบ.มม.: ถ้าเกล็ดเลือดลดต่ำลงกว่า 100,000 เซลล์/ลบ.มม. จริง ๆ การเปลี่ยนไปใช้ 5%D/NSS* อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่ก็ต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น สัญญาณชีพ ความดันโลหิต ปริมาณปัสสาวะ และอาการทางคลินิกโดยรวมของผู้ป่วย
ข้อควรระวัง: การให้สารน้ำในผู้ป่วยไข้เลือดออกต้องทำด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะการให้มากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เช่น ภาวะปอดบวมน้ำ (Pulmonary Edema) หรือภาวะน้ำเกินในสมอง (Cerebral Edema) ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- การพิจารณาให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือด (เช่น เกล็ดเลือด) ในผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีภาวะเลือดออกรุนแรง ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น และต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงและประโยชน์อย่างรอบคอบ
- การรักษาไข้เลือดออกเป็นการรักษาตามอาการ (Symptomatic Treatment) ไม่มียาใดที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสเดงกีโดยตรง การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การประคับประคองอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
การดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออกต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบ และการตัดสินใจที่ถูกต้องบนพื้นฐานของข้อมูลทางการแพทย์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์หากมีข้อสงสัยหรือข้อกังวลใด ๆ นะครับ
DF กับ DHF แตก ต่าง กัน อย่างไร?
อืม… นอนไม่หลับอีกแล้วเนี่ย คิดเรื่องงานอยู่ พรุ่งนี้ต้องส่งรายงาน เรื่องไข้เลือดออกนี่แหละ…
DF กับ DHF มันต่างกันตรงความรุนแรงอ่ะนะ DF ก็คือไข้เลือดออกแบบธรรมดา อาการก็ปวดหัว ตัวร้อน ไข้ขึ้น แต่ DHF มันรุนแรงกว่าเยอะ อันตรายกว่าด้วย
จำได้ว่าปีนี้ ที่บ้านเพื่อนเป็นไข้เลือดออก โชคดีที่เป็นแค่ DF แต่ก็ดูเหนื่อยมาก พักหลายวันเลย เห็นแล้วก็กลัวนะ ถ้าเป็น DHF นี่คงหนักกว่านี้มาก
- DF: ไข้เลือดออกทั่วไป ไม่รุนแรงมาก
- DHF: ไข้เลือดออกรุนแรง อันตรายกว่ามาก อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
สาเหตุเหมือนกันนะ ยุงลายทั้งคู่ Aedes species จำได้ว่า ปีนี้ทางเขตจัดอบรมเรื่องนี้ บอกให้กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เอาจริง ๆ ก็ต้องระวัง โดยเฉพาะช่วงฝนตกหนักแบบนี้ ยุงเยอะมาก
คิดแล้วก็เหนื่อยใจ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ต้องระวัง ไม่งั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ได้ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า ไปทำงานก่อนดีกว่า หลับให้สบายเลยวันนี้
อาการของไข้เลือดออก 3 ระยะ มีอะไรบ้าง?
ไข้เลือดออก! แค่ชื่อก็เสียวแล้วววว! ฟังนะ มันมี 3 ระยะ โหด มันส์ ฮา!
-
ระยะที่ 1: ไข้ขึ้นสูงปรี๊ด! นี่คือระยะที่คุณจะรู้ตัวว่า “เอ๊ะ! ทำไมร้อนจังวะ?” ไข้สูงลิ่ว ปวดหัวตุ๊บๆ เหมือนโดนค้อนทุบ ตาแดงก่ำ เหมือนไปทะเลาะกับมังกรมา เจ็บกล้ามเนื้อ นี่ไม่ใช่แค่ปวด แต่ปวดแบบ “โอ๊ยยยยยยยยยยย แม่!!!” บางคนอาจมีจมูกและเหงือกเลือดออกนิดหน่อย แค่นิดนะ อย่าตกใจไป มันยังแค่เรียกน้ำย่อยอยู่
-
ระยะที่ 2: ช็อก! เลือดออก! อื้อหือออ ระยะนี้ถึงขั้นวิกฤต ความดันตกฮวบ! เหมือนตกจากตึกสิบชั้น ชีพจรเต้นเร็วปานจะทะลุอก มือเท้าเย็นเฉียบ เหมือนโดนแช่น้ำแข็งเป็นวันๆ เริ่มมีเลือดออกตามจุดต่างๆ อาจเป็นจ้ำๆ เลือดออกตามผิวหนัง หรือรุนแรงถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด อึเป็นเลือด นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ รีบไปหาหมอเถอะ ไม่งั้นอาจได้นอนห้องไอซียู
-
ระยะที่ 3: ฟื้นตัว! เย้ๆๆๆๆ! ระยะนี้จะเริ่มดีขึ้น ไข้ลดลง ความดันกลับมาปกติ สีหน้าเริ่มมีเลือดฝาด เหมือนได้ชีวิตใหม่ แต่ก็ยังต้องดูแลตัวเองอย่างดี พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าไปออกกำลังกายหนักๆ เหมือนเพิ่งวิ่งมาราธอน ถ้ามีอาการผิดปกติ ก็รีบไปหาหมออีกครั้ง เผื่อมันจะกลับมาเล่นงานซ้ำ
สัญญาณอันตราย: ถ้าเห็นอาการเหล่านี้ รีบพุ่งตัวไปโรงพยาบาลด่วน! อย่ารอช้า ชีวิตมีค่ากว่าเวลา!
- เลือดออกมากผิดปกติ
- ความดันตก
- ชีพจรเร็ว
- หายใจลำบาก
ปี 2566 นี้ การรักษาเน้นการดูแลรักษาแบบประคับประคอง ให้ร่างกายฟื้นตัวเอง ยาลดไข้ช่วยได้บ้าง แต่สำคัญที่สุดคือ การพักผ่อน กินอาหารที่มีประโยชน์ และที่สำคัญที่สุดคือ…
- กำจัดยุงลาย! นี่แหละ ตัวการสำคัญ ฆ่ามันให้หมด! ใช้ยากันยุง มุ้ง กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ ไม่งั้นปีหน้า เจอกันใหม่!
เพิ่มเติมนิดหน่อย: สมุนไพรไทยช่วยได้บ้างเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ทางรักษาหลัก ไปหาหมอเถอะ อย่าเชื่อคนง่าย โชคดี!
อะไรคือสาเหตุของโรคไข้เลือดออก?
ไข้เลือดออก สาเหตุหลักคือไวรัสเดงกี (DENV) ที่มียุงลาย (Aedes aegypti) เป็นตัวแพร่เชื้อนี่แหละครับ ช่วงฤดูฝนบ้านเรานี่ตัวดีเลย ระบาดหนักทุกปี
-
ไวรัสเดงกี: มี 4 สายพันธุ์ (DENV-1 ถึง DENV-4) ติดเชื้อสายพันธุ์ไหนแล้วก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้น แต่ก็ยังเสี่ยงติดเชื้อสายพันธุ์อื่นได้อีก ชีวิตมันเศร้า
-
ยุงลาย: ไม่ใช่แค่ไข้เลือดออกนะ ยังมีไข้ซิกาและชิคุนกุนยาอีก น่าเบื่อจริง ๆ
-
การติดต่อ: ยุงลายกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก แล้วไปกัดคนอื่นต่อ วนลูปไปเรื่อย ๆ
-
ฤดูฝน: เพราะฝนตก น้ำขัง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายชั้นดีเลย นี่คือเหตุผลที่ต้อง “ป้องกันดีกว่าแก้” อย่างที่เขาว่ากัน
เกร็ดเล็กน้อย: ที่น่าสนใจคือการตอบสนองของร่างกายต่อไวรัสเดงกีแต่ละสายพันธุ์ไม่เหมือนกัน บางคนเป็นแล้วอาการน้อยมาก บางคนอาการหนักถึงขั้นช็อกได้เลย ร่างกายคนเรานี่ก็ซับซ้อนเหมือนปรัชญาเลยเนอะ
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ควรรู้: รู้ไหมว่ายุงลายไม่ได้กัดแค่ตอนกลางวันนะ ตอนกลางคืนถ้าไฟสว่าง ๆ มันก็กัดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าประมาท
ไข่เลือดออกกี่วันหาย?
ไข้เลือดออกกี่วันหายอะ? หืมมม… 7 วันมั้ง? หรือเปล่า? จำไม่ค่อยได้แล้วสิ เคยเป็นเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นหนักมาก แทบคลานไปโรงพยาบาลเลย คุณหมอบอกต้องพักผ่อนเยอะๆ กินยาตามที่สั่ง งดของหวานด้วยนะ เรื่องจริง!
- อาการไข้ลดลงภายใน 3-7 วัน จริงป่ะ?
- แต่บางคนอาจจะนานกว่านี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรง
- อย่าลืมดื่มน้ำเยอะๆ สำคัญมาก นี่คือข้อควรจำ
ไข้เลือดออกติดต่อไหมเนี่ย? อื้อหือ อันนี้รู้ดี ติดต่อผ่านยุงลายแน่นอน! เพื่อนฉันที่ทำงาน ติดมาจากที่บ้าน มันบอกยุงเยอะมาก บ้านมันอยู่แถวๆ ตลาดนัด เยอะจริงๆ ปีนี้ยุงเยอะเป็นพิเศษเลยนะ
- ยุงลายเป็นพาหะ
- ต้องป้องกันตัวดีๆ ทายากันยุง
- อย่าให้ยุงกัด! จำไว้!
อ้อ! ลืมบอกไป ปีนี้ฉันฉีดวัคซีนไข้เลือดออกไปแล้ว ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ฉีดไป 2 เข็มแล้ว หมอบอกว่ามันช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ แต่ก็ยังต้องระวังตัวอยู่ดี ต้องป้องกันยุงลายอยู่ดี
ปล. ฉันต้องรีบไปทำธุระแล้ว เดี๋ยวมาต่อ บาย!
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต