จ้ำเลือดกี่วันหาย

จ้ำเลือด…กี่วันหาย? ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?

รอยจ้ำเลือด หรือที่เรียกกันว่า “รอยช้ำ” (Bruise) เกิดจากการที่เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตก ทำให้เลือดไหลซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อโดยรอบ สีของรอยช้ำจะเปลี่ยนไปตามระยะเวลา เริ่มจากสีแดงเข้มหรือม่วง แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว น้ำเงิน และเหลือง ก่อนที่จะจางหายไปในที่สุด แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ รอยจ้ำเลือดจะหายไปภายในกี่วัน? คำตอบนั้นไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการดังนี้:

1. ขนาดและความรุนแรงของการกระแทก: รอยช้ำขนาดเล็กที่เกิดจากการกระแทกเล็กน้อย เช่น การชนกับขอบโต๊ะ อาจหายไปภายใน 7-10 วัน แต่หากเป็นรอยช้ำขนาดใหญ่และเกิดจากการกระแทกอย่างแรง เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ อาจใช้เวลานานกว่า อาจถึง 2-3 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้น ยิ่งมีเลือดออกใต้ผิวหนังมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งใช้เวลานานในการหาย

2. ตำแหน่งที่เกิดรอยช้ำ: รอยช้ำที่เกิดขึ้นบริเวณที่มีการไหลเวียนโลหิตดี เช่น ใบหน้า อาจหายเร็วกว่ารอยช้ำที่เกิดขึ้นบริเวณที่มีการไหลเวียนโลหิตน้อย เช่น ข้อเท้าหรือขา เนื่องจากร่างกายสามารถดูดซึมเลือดที่คั่งอยู่ได้เร็วขึ้น

3. อายุและสุขภาพ: บุคคลที่มีอายุมากขึ้น หรือมีปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคเลือดออกง่าย อาจใช้เวลานานกว่าในการหาย เนื่องจากร่างกายมีประสิทธิภาพในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อลดลง

4. การดูแลรักษา: การประคบเย็นในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังเกิดรอยช้ำ จะช่วยลดอาการบวมและปวด การยกบริเวณที่เกิดรอยช้ำให้สูงกว่าระดับหัวใจ ก็ช่วยลดการบวมได้เช่นกัน การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีและวิตามินเค ก็อาจช่วยเร่งการหายได้บ้าง แต่ควรหลีกเลี่ยงการนวดหรือขยี้บริเวณที่เกิดรอยช้ำ เพราะอาจทำให้รอยช้ำลุกลามหรือเกิดอาการปวดมากขึ้น

เมื่อใดควรพบแพทย์?

แม้ว่ารอยช้ำส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่ควรไปพบแพทย์หากมีอาการดังต่อไปนี้:

• รอยช้ำขนาดใหญ่ผิดปกติ หรือเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
• มีอาการปวดอย่างรุนแรง บวมมาก หรือมีไข้
• รอยช้ำไม่หายไปภายใน 2-3 สัปดาห์
• รอยช้ำเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หรือเกิดขึ้นง่ายผิดปกติ

โดยสรุป ระยะเวลาที่รอยจ้ำเลือดหาย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยทั่วไปรอยช้ำขนาดเล็กจะหายไปภายใน 7-10 วัน แต่รอยช้ำขนาดใหญ่หรือเกิดจากการกระแทกอย่างรุนแรงอาจใช้เวลานานกว่า และหากมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม อย่าละเลยอาการ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณ

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เสมอ