รู้ได้ยังไงว่าเป็นไมเกรน

11 การดู

หากคุณมีอาการปวดหัวตุบๆ บริเวณขมับหรือรอบดวงตา, ปวดหัวข้างเดียว (แต่ก็อาจเป็นทั้งสองข้างได้), คลื่นไส้อาเจียน, ไวต่อแสงและเสียง และอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว อาจเป็นสัญญาณของไมเกรน ลองสังเกตว่าอาการเหล่านี้สัมพันธ์กับรอบเดือนของคุณหรือไม่ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยที่แม่นยำยิ่งขึ้น

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นไมเกรน? มากกว่าแค่ปวดหัวธรรมดา

อาการปวดหัวเป็นเรื่องที่ใครหลายคนคุ้นเคย แต่ถ้าปวดหัวบ่อยๆ ปวดตุบๆ และมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเผชิญกับไมเกรน ซึ่งเป็นอาการปวดหัวชนิดหนึ่งที่มีความรุนแรงมากกว่าปวดหัวทั่วไป และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมาก

ไมเกรนไม่ได้เป็นแค่อาการปวดหัวธรรมดา แต่มีลักษณะเฉพาะที่สามารถสังเกตได้ดังนี้:

  • อาการปวดหัวตุบๆ: คล้ายกับมีหัวใจเต้นอยู่ในศีรษะ โดยมักจะปวดข้างเดียว บริเวณขมับ หน้าผาก หรือรอบดวงตา แต่อาจปวดสลับข้างหรือปวดทั้งสองข้างได้เช่นกัน
  • ความรุนแรงของอาการปวด: ไมเกรนมักมีอาการปวดระดับปานกลางถึงรุนแรง บางครั้งอาจรุนแรงจนกระทบกับกิจวัตรประจำวัน เช่น ทำงาน เรียน หรือแม้แต่การพักผ่อน
  • อาการร่วมอื่นๆ: นอกจากอาการปวดหัว ไมเกรนยังมาพร้อมกับอาการอื่นๆ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ไวต่อแสง (photophobia) ไวต่อเสียง (phonophobia) และไวต่อกลิ่น (osmophobia) บางรายอาจมีอาการมองเห็นผิดปกติ เช่น เห็นแสงวาบ เห็นจุดดำ หรือมองเห็นภาพบิดเบี้ยว ซึ่งเรียกว่า “ออร่า” (Aura) ก่อนที่จะมีอาการปวดหัว
  • ระยะเวลาของอาการ: อาการปวดหัวไมเกรนสามารถคงอยู่ได้นานตั้งแต่ 4 ชั่วโมง ไปจนถึง 72 ชั่วโมง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
  • ความสัมพันธ์กับรอบเดือน: ในผู้หญิง อาการไมเกรนมักสัมพันธ์กับรอบเดือน โดยอาจเกิดขึ้นก่อน ระหว่าง หรือหลังมีประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน

หากคุณมีอาการดังกล่าวข้างต้น และอาการปวดหัวเกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และรับคำแนะนำในการรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการไมเกรน อย่าปล่อยให้อาการปวดหัวเรื้อรัง ควบคุมชีวิตของคุณ เพราะไมเกรนสามารถรักษาและจัดการได้

การสังเกตอาการและจดบันทึก รวมถึงปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว เช่น ความเครียด การอดนอน อาหารบางชนิด หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น.