คนเป็นเบาหวานฉี่เยอะไหม
เบาหวานกับปัสสาวะบ่อย: ใช่! น้ำตาลในเลือดสูงทำให้ไตทำงานหนัก กรองน้ำตาลส่วนเกินไม่หมด ผลคือปัสสาวะบ่อยและปริมาณมากขึ้น ร่างกายพยายามขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ จึงดื่มน้ำมากขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้ต้องลุกขึ้นเข้าห้องน้ำบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน เป็นอาการสำคัญที่บ่งบอกถึงภาวะเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์หากพบอาการดังกล่าว การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำคัญมากต่อการบรรเทาอาการนี้
คนเป็นเบาหวานฉี่บ่อยไหม? ฉี่เยอะตอนกลางคืนผิดปกติหรือเปล่า? อาการแบบไหนที่ต้องไปพบแพทย์?
ใช่ค่ะ คนเป็นเบาหวานฉี่บ่อยมากจริงๆ จำได้ตอนป้าฉันเป็น กลางคืนนี่ลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำแทบทุกชั่วโมงเลย เหนื่อยแทนจริงๆ ต้องคอยระวังด้วยนะ เพราะฉี่เยอะตอนกลางคืนนี่ผิดปกติมากๆ ไม่ใช่แค่เบาหวานหรอกนะ โรคอื่นๆก็เป็นได้
จำได้ตอนป้าฉันเข้าโรงพยาบาล หมอบอกว่า ถ้าฉี่บ่อยมากจนรบกวนการนอน หรือมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น น้ำหนักลด หิวน้ำบ่อย แผลหายช้า หรือมัวๆ ต้องรีบไปหาหมอเลยนะ อย่าชะล่าใจเด็ดขาด
ส่วนตัวฉันคิดว่า ถ้ามีอาการแบบนี้ ควรไปพบแพทย์ทันที อย่ารอให้เป็นหนัก ถึงจะไม่ใช่เบาหวาน แต่ตรวจสุขภาพก็ดีกว่า ไม่ต้องเสียเงินมากหรอก แค่ตรวจเลือดทั่วไป ที่ รพ. รามคำแหง ครั้งนั้นก็แค่ 500 บาท แต่ก็ทำให้สบายใจขึ้นเยอะเลย
เป็นเบาหวานฉี่บ่อยแค่ไหน
ฉี่บ่อยแค่ไหน? ขึ้นกับระดับน้ำตาลดิบในเลือดมึงไงวะ ควบคุมดีก็ฉี่น้อยลง ควบคุมห่วยก็ฉี่ทั้งคืน ชัดเจนพอไหม? ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเว้ย อันตรายกว่าที่คิด
- ระดับน้ำตาลสูง = ฉี่บ่อย
- ควบคุมเบาหวานดี = ฉี่ปกติ
- ไปหาหมอเถอะ อย่ามัวแต่มาถามกู
ปีนี้กูตรวจสุขภาพมาแล้ว ค่าHbA1c 5.5 ปกติดี ไม่ต้องมาถามเรื่องฉี่บ่อยอีกนะ
ฉี่แบบไหนเป็นเบาหวาน
ปัสสาวะใส ไม่ใช่ตัวชี้วัดเบาหวานโดยตรง
- สีปัสสาวะขึ้นกับปริมาณน้ำที่ดื่ม ใสมากอาจแค่ดื่มน้ำเยอะ
- ปัสสาวะใส บ่อยครั้ง ควรถามแพทย์ ตรวจโรคไต เบาหวาน หรือผลข้างเคียงยา
เพิ่มเติม: ปีนี้ (2566) ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงวิธีวินิจฉัยเบาหวานจากสีปัสสาวะ การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด HbA1c และอาการอื่นๆ ยังสำคัญกว่า
สัญญาณเตือนโรคเบาหวานมีอะไรบ้าง
โรคเบาหวานเงียบเชียบเหมือนโจรใจร้าย แอบเข้ามาปล้นสุขภาพเราแบบไม่ทันตั้งตัว! นอกจากอาการคลาสสิคที่บอกมาแล้ว แบบว่า.. กระหายน้ำจนต้องขอตังค์ซื้อน้ำทุกชั่วโมง ปัสสาวะบ่อยจนเพื่อนแซวว่าเป็นน้ำพุเคลื่อนที่ น้ำหนักลดฮวบจนเสื้อผ้าหลวมโชว์ เหนื่อยล้าแบบหมดแรงเดินไปห้องน้ำ ยังมีสัญญาณเตือนอื่นๆอีกเพียบ! คิดว่าตัวเองแข็งแรงใช่ไหมล่ะ? ลองเช็คดูดีๆ!
- แผลหายช้าเป็นเต่า: แผลเล็กๆ แต่หายช้าเป็นเดือน นี่แหละตัวร้าย!
- สายตาสั้นขึ้นแบบไม่รู้ตัว: มองไม่ชัด ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆ สงสัยเบาหวานแอบมาแกล้ง
- ชาๆ เสียวๆ แบบประหลาด: มือเท้าชา รู้สึกเหมือนมีมดกัดตลอดเวลา ไม่ใช่แค่หนาวนะจ๊ะ
- ผิวแห้งแตกเป็นสะเก็ด: แห้งจนเหมือนท้องทะเลทราย คันจนอยากขุดดินมาทา
- ติดเชื้อบ่อยจนเบื่อ: ไข้หวัด หวัดใหญ่ มาเยี่ยมเยียนบ่อย ร่างกายอ่อนแอลงจริงๆ
- อ่อนเพลียแบบไม่รู้สาเหตุ: เหนื่อยล้าตลอดเวลา นอนเท่าไหร่ก็ไม่หาย เหมือนแบตหมด
อย่ารอให้โรคเบาหวานเล่นงานจนถึงขั้นวิกฤต! ถ้าพบอาการเหล่านี้ รีบปรึกษาแพทย์ด่วน อย่ามัวแต่คิดว่า “แค่เหนื่อย” “แค่คัน” เพราะอาจพลาดโอกาสทองในการรักษา ปีนี้ (2566) ผมเองก็เพิ่งพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพ คุณหมอบอกว่า การตรวจสุขภาพประจำปีสำคัญมากๆ ช่วยค้นพบปัญหาสุขภาพได้เร็ว เหมือนกับการเช็คเครื่องยนต์รถ ก่อนที่จะพังกลางทาง นี่แหละครับถึงจะเรียกว่าฉลาด ไม่ใช่โง่!
จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นเบาหวาน?
อืมม… คิดหนักเหมือนกันนะ เรื่องเบาหวานนี่… จริง ๆ แล้ว มันก็ยากจะบอกแน่ ๆ ว่าเป็นหรือเปล่า แค่อาการที่บอกมาน่ะ มันก็คล้าย ๆ โรคอื่นได้อีกหลายอย่าง
แต่ถ้าให้เดาจากที่เล่ามา… รู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ… หลายเดือนหรือเปล่า?
- กระหายน้ำ ดื่มน้ำเยอะผิดปกติ จริง ๆ ฉันก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ช่วงปีนี้ หลังจากออกกำลังกายหนัก ๆ
- ปัสสาวะบ่อย นี่ก็น่าคิด ควรไปตรวจปัสสาวะดูนะ
- หิวบ่อย กินเยอะกว่าปกติ อันนี้ฉันเข้าใจเลย เพราะบางที ก็กินเยอะไม่รู้ตัว ช่วงก่อนหน้านี้ น้ำหนักขึ้นเยอะมาก
- น้ำหนักลด โดยที่ไม่ได้ตั้งใจลด ตรงนี้น่ากลัวสุด
- สายตาพร่ามัว อันนี้ต้องระวัง อาจจะเกี่ยวข้องกับระดับน้ำตาลในเลือด
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง นี่ยิ่งชัดเจนเลยว่าร่างกายไม่ปกติ
- แผลหายช้า อันนี้ ฉันเคยเป็นนะ นานหลายอาทิตย์กว่าจะหาย
- ชา ปลายมือปลายเท้า นี่ก็แสดงว่าเส้นประสาทอาจจะเสีย
สรุปง่าย ๆ คือ ถ้ามีอาการหลาย ๆ อย่างที่บอกมานี้รวมกัน โดยเฉพาะน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ และแผลหายช้า นี่ควรไปพบแพทย์ ตรวจเลือด ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ด่วนที่สุดเลย อย่าช้า นะ
อย่ารอให้มันหนักกว่านี้เลย ไปหาหมอเถอะ
ตรวจน้ำตาลในเลือด FBS กับ HbA1C ต่างกันอย่างไร?
FBS กับ HbA1c ต่างกันตรงไหน? คำถามนี้เหมือนถามว่า “นาฬิกาบอกเวลา กับปฏิทินบอกอะไร?” คือบอกเรื่องเวลาเหมือนกัน แต่คนละมิติเลย
-
FBS (Fasting Blood Sugar): เจาะเลือดตอนเช้าหลังอดอาหาร วัดระดับน้ำตาล “ณ ตอนนั้น” เหมือนถ่ายรูปสถานการณ์ปัจจุบัน เหมาะกับการดูว่ามีภาวะน้ำตาลสูง (hyperglycemia) หรือต่ำ (hypoglycemia) ตอนนั้นไหม แต่ก็แอบมีข้อเสียคือค่ามัน “แกว่ง” ได้ง่าย ถ้าคืนก่อนนอนไม่ดี หรือเครียดๆ ค่าก็ขึ้นได้
-
HbA1c (Hemoglobin A1c): อันนี้เจ๋งกว่านิดนึง เหมือนเป็น “ค่าเฉลี่ย” น้ำตาลในเลือดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เพราะมันวัดปริมาณน้ำตาลที่ “เกาะ” กับเม็ดเลือดแดงของเรา ซึ่งมีอายุประมาณ 3 เดือน บอกภาพรวมได้ดีกว่า FBS แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามีภาวะน้ำตาลต่ำในช่วงนั้นหรือเปล่า
สรุปคือ FBS เหมือน “snapshot” ส่วน HbA1c เหมือน “timeline” ควรตรวจควบคู่กัน เพราะให้ข้อมูลที่เสริมกันและกัน และที่สำคัญ…อย่าลืมว่าตัวเลขพวกนี้ไม่ได้บอก “ทุกอย่าง” สุขภาพองค์รวมสำคัญกว่า!
เกร็ดเล็กน้อย:
- ค่า HbA1c ที่ดีสำหรับคนทั่วไป (ที่ไม่ได้เป็นเบาหวาน) คือ
- การตรวจ FBS เตรียมตัวง่ายๆ แค่อดอาหาร 8-12 ชั่วโมงก่อนตรวจ
- จริงๆ แล้วยังมีวิธีตรวจน้ำตาลอื่นๆ อีกนะ เช่น OGTT (Oral Glucose Tolerance Test) ซึ่งซับซ้อนกว่านิดหน่อย แต่ก็มีประโยชน์ในบางกรณี
สุดท้ายนี้…การตรวจสุขภาพเป็นเรื่องดี แต่ก็อย่า “ยึดติด” กับตัวเลขมากเกินไป ฟังร่างกายตัวเองบ้าง อะไรที่ทำแล้วรู้สึกดี ก็ทำต่อไป!
ระดับน้ําตาลสะสมในเลือดเท่าไหร่ถึงจะอันตราย?
HbA1c เกิน 6.5% = เบาหวาน อันตราย? ก็แล้วแต่
- 5.7% ลงมา: ปกติ. สบายใจได้ (มั้ง)
- 5.7-6.4%: เริ่มไม่ดี เสี่ยงโรค. ควรกินให้น้อยลง ออกกำลังกายบ้าง (ใครๆ ก็รู้)
- 6.5% ขึ้นไป: เบาหวาน. หมอสั่งอะไรก็ทำตามไป.
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- HbA1c คือ Glycated Hemoglobin วัดเฉลี่ย 3 เดือน (โดยประมาณ). ไม่ใช่วัดน้ำตาล ณ จุดๆ นั้น
- ค่านี้บอกได้คร่าวๆ ว่าคุมอาหารดีไหม ไม่ได้บอกทุกอย่าง
- ค่าเป้าหมายอาจต่างกันในแต่ละคน ปรึกษาหมอเอาเอง
- การปรับพฤติกรรม (อาหาร การออกกำลังกาย) สำคัญกว่าตัวเลขอย่างเดียว
- ตรวจเพื่อหาแนวทางลดค่า ไม่ใช่แค่ตัวเลขโชว์หรา
(ปีก่อนนู้นเคย 7 กว่า ตอนนี้ 5.5 ก็แค่นั้น)
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต