เบาหวานมีกี่ชนิด วิธีแยกประเภทยังไง

8 การดู

โรคเบาหวานจำแนกได้หลากหลาย แต่หลักๆ แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์สร้างอินซูลิน เบาหวานชนิดที่ 2 ร่างกายต้านทานต่ออินซูลิน และเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะในระหว่างตั้งครรภ์ การรักษาและการดูแลแตกต่างกันไปตามชนิดของโรค การวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เบาหวาน: มากกว่าแค่ “น้ำตาลในเลือดสูง” การแยกแยะประเภทเพื่อการดูแลที่ถูกต้อง

โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อวิธีการที่ร่างกายใช้กลูโคส (น้ำตาลกลูโคส) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย แม้ว่าเราจะคุ้นเคยกับคำว่า “เบาหวาน” ที่ดูเหมือนจะหมายถึงโรคเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว เบาหวานมีความหลากหลายซับซ้อนกว่านั้น การเข้าใจประเภทของเบาหวานจึงเป็นกุญแจสำคัญในการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เพราะวิธีการดูแลสุขภาพและการจัดการโรคจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเบาหวาน

โดยทั่วไป เราสามารถแบ่งประเภทของโรคเบาหวานออกได้เป็นหลายประเภท แต่ที่พบได้บ่อยและเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย คือ 3 ชนิดหลัก ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในกลไกการเกิดโรค อาการ และวิธีการรักษา คือ:

1. เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes):

เบาหวานชนิดนี้เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเองทำลายเซลล์เบตาในตับอ่อน เซลล์เบตาเหล่านี้เป็นผู้ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการนำน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อเซลล์เบตาถูกทำลาย ร่างกายจึงไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ ส่งผลให้น้ำตาลกลูโคสสะสมอยู่ในกระแสเลือดในระดับสูง เบาหวานชนิดที่ 1 มักเกิดขึ้นในวัยเด็กหรือวัยรุ่น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับอินซูลินจากภายนอกตลอดชีวิตเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

2. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes):

แตกต่างจากเบาหวานชนิดที่ 1 เบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน หมายความว่าแม้ร่างกายจะสามารถผลิตอินซูลินได้ แต่เซลล์ต่างๆ ในร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่ออินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กลูโคสเข้าสู่เซลล์ได้น้อยลง ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เบาหวานชนิดที่ 2 มักพบในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน หรือมีวิถีชีวิตที่ไม่แข็งแรง การรักษาอาจเริ่มจากการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และยาเม็ดควบคุมน้ำตาล แต่ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องใช้การฉีดอินซูลินร่วมด้วย

3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes):

เป็นภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่เกิดขึ้นเฉพาะในระหว่างตั้งครรภ์ สาเหตุที่แน่ชัดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าฮอร์โมนจากรกมีบทบาทสำคัญ เบาหวานขณะตั้งครรภ์มักหายไปหลังคลอด แต่มีความเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต และมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ทั้งในคุณแม่และทารกในครรภ์ จึงจำเป็นต้องได้รับการตรวจและดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์

การแยกแยะประเภท:

การแยกแยะประเภทของเบาหวานทำได้โดยแพทย์ โดยพิจารณาจากประวัติของผู้ป่วย อาการ ผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด และการทดสอบอื่นๆ เช่น การทดสอบความทนทานต่อกลูโคส การตรวจระดับอินซูลินในเลือด และการตรวจภูมิคุ้มกันต่อเซลล์เบตา การวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาและการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม และป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การวินิจฉัยและการรักษาโรคเบาหวานควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากคุณมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ

#การวินิจฉัย #ประเภท #เบาหวาน