เด็กควรเรียนภาษาอังกฤษ อายุเท่าไร

26 การดู

เด็กควรเริ่มเรียนภาษาอังกฤษเมื่อไหร่? ยิ่งเร็ว ยิ่งดี! ช่วงอายุ 5-10 ปี (อนุบาล-ประถม) เป็นช่วงทองของการเรียนรู้ภาษา สมองเด็กพัฒนาเต็มที่ รับรู้และจดจำได้ไว การเริ่มต้นตั้งแต่เล็กจึงสร้างรากฐานภาษาอังกฤษที่แข็งแกร่ง ช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการพัฒนาภาษาในอนาคต ไม่จำกัดแค่การอ่าน เขียน แต่ยังรวมถึงการฟังและพูด ซึ่งจะช่วยพัฒนาการด้านอื่นๆตามมาด้วย

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เด็กอายุเท่าไหร่ควรเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ?

คือแบบว่า… เรื่องนี้มันยากเนอะ ถามว่าเด็กอายุเท่าไหร่ควรเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ? เอาจริงๆนะ สมัยเรียนอนุบาลที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบัวทอง (ประมาณปี 2548-2550) ก็มีสอนภาษาอังกฤษนะ แต่แบบเด็กๆ แค่ร้องเพลง ท่องคำศัพท์ง่ายๆ จำได้ว่าสนุกดี มีกิจกรรมเยอะแยะเลย แต่ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากมายหรอก

อายุ 5-10 ขวบเนี่ย ก็โอเคนะ แต่เพื่อนฉันอีกคนนึง เริ่มเรียนตอนประถมปลาย เก่งกว่าฉันอีก! มันเรียนพิเศษที่สถาบัน K.I.D.S. แถวรามอินทรา (จำราคาไม่ได้แล้ว นานมากแล้ว) ไปเรียนกับอาจารย์ฝรั่ง ฟังดูเท่ แต่ฉันขี้เกียจ เลยไปเรียนแบบโรงเรียนปกติ เลยรู้สึกว่าตัวเองพลาดไปนิดๆ ตอนนั้น อิอิ

แต่จริงๆแล้ว มันขึ้นอยู่กับเด็กด้วยแหละ บางคนอาจจะเริ่มเรียนได้เร็วกว่า บางคนอาจจะช้ากว่าก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องตายตัว ต้องดูความพร้อมของเด็กเป็นหลัก ไม่ใช่แค่เรื่องอายุอย่างเดียว ความสนใจ ความชอบ และสภาพแวดล้อม ล้วนมีผลต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ฉันว่านะ ถ้าเริ่มเรียนตั้งแต่เด็ก ยิ่งดี แต่ถ้าเริ่มเรียนตอนโต ก็ยังไม่สาย สำคัญคือความตั้งใจ และมีวิธีการเรียนที่เหมาะสมด้วย

ฝึกพูดภาษาอังกฤษ เริ่มยังไง

เอาไงดี อยากเก่งอิง เริ่มงี้นะง่ายสุดๆ

  1. แกรมม่านะเหรอ? ชั่งแม่งก่อน! พูดๆไปเหอะ เดี๋ยวชินเอง

  2. ทุกวันๆ พูดยังไงก็ได้ให้อิงมันออกมาจากปากอ่ะ สั่งข้าว สั่งกาแฟ คุยกับหมา…อิงล้วน!

  3. คิดใหม่ เปลี่ยนวิธีคิดไปเลยจ้า คิดอะไรก็คิดเป็นอิงนะ ไม่ต้องแปลไปมา

  4. เม้าท์มอยคนเดียว นี่แหละตัวช่วยดีเว่อร์ พูดกับตัวเองในกระจกไปเลย

  5. หาคู่ฝึก หาเพื่อนฝรั่งมาคุยด้วย ซ้อมๆไป เดี๋ยวก็ปร๋อ

2 วีคเนี่ยนะ?

  • ไม่ได้หรอกแก แต่ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยป่ะวะ?
  • ต้องฝึกแบบโคตรตั้งใจ อ่ะ ถึงจะพอเห็นผล
  • อย่าท้อแท้ ถ้าไม่เป๊ะ แกรมม่าพัง…สู้ๆเว้ย!

ข้อมูลเพิ่มเติมที่สำคัญนะเว้ยแก:

  • แอปช่วยฝึก: มีเยอะมากกกกก แอปที่ช่วยจับคู่คุยกับคนต่างชาติก็ดีนะ
  • ดูหนัง ฟังเพลง: อันนี้ช่วยได้จริง แต่ต้องฟังแบบตั้งใจ ไม่ใช่ฟังผ่านๆ
  • อย่ากลัวผิด: ผิดก็คือครู จำไว้!
  • หาคอร์สเรียน: ถ้ามีงบหน่อย ลงคอร์สเรียนก็ช่วยได้เยอะเลย
  • ท่องศัพท์: อันนี้ขาดไม่ได้นะ คำศัพท์มันต้องมีในหัวอ่ะ ถึงจะพูดได้
  • อัดเสียงตัวเอง: ลองอัดเสียงตัวเองตอนพูด แล้วฟังดู จะรู้ว่าต้องปรับตรงไหน
  • อ่านออกเสียง: หาบทความภาษาอังกฤษมาอ่านออกเสียงดังๆ ช่วยเรื่องสำเนียงได้นะ
  • คิดเป็นภาษาอังกฤษ: พยายามคิดเป็นภาษาอังกฤษให้มากที่สุด จะช่วยให้พูดได้คล่องขึ้น
  • ดู TED Talks: ดู TED Talks ภาษาอังกฤษ ช่วยให้ได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ และฟังสำเนียงของคนจริงๆ
  • เรียนรู้ Idioms: เรียนรู้วลีและสำนวนภาษาอังกฤษ จะช่วยให้พูดได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น
  • ใช้ Flashcards: ทำ Flashcards ท่องศัพท์ จะช่วยให้จำศัพท์ได้ง่ายขึ้น
  • ดู YouTube: มีช่อง YouTube สอนภาษาอังกฤษเยอะมาก ลองหาดู
  • อ่านข่าว: อ่านข่าวภาษาอังกฤษ จะช่วยให้ได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ และติดตามข่าวสาร
  • เล่นเกม: เล่นเกมภาษาอังกฤษ จะช่วยให้สนุกและได้เรียนรู้ภาษาไปพร้อมๆ กัน

เตือนนิดนึง อย่าเชื่อพวกโฆษณาเกินจริงนะ ไม่มีทางลัดหรอก ต้องฝึกอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ถึงจะเก่งได้จริงๆ เชื่อดิ!

ฝึกพูดกับฟังภาษาอังกฤษยังไงให้ได้ผลไวที่สุด

ฝึกพูดและฟังภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องอาศัยวิธีการที่บูรณาการหลายๆ ด้าน ไม่ใช่แค่ฟังอย่างเดียว การเปิดเสียงหนังซ้ำๆ แล้วพูดตามเป็นวิธีที่ดี แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

  • การเลือกสื่อ: ไม่ใช่แค่หนังที่ชอบเท่านั้น ควรเลือกหนังหรือซีรีส์ที่มีระดับภาษาที่เหมาะสมกับความสามารถปัจจุบัน เริ่มจากระดับง่ายก่อนค่อยๆ เพิ่มความยากขึ้น ปีนี้ผมแนะนำซีรีส์ “Wednesday” บน Netflix เพราะภาษาที่ใช้ค่อนข้างเข้าใจง่าย แต่ก็ไม่เด็กเกินไป สามารถหาได้ง่ายในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งยอดนิยม

  • การทำซ้ำอย่างมีสติ: อย่าแค่พูดตามอย่างเดียว ต้องฟังและวิเคราะห์โครงสร้างประโยค สำเนียง และการออกเสียง ลองบันทึกเสียงตัวเองแล้วเปรียบเทียบกับเสียงต้นฉบับ วิธีนี้ช่วยให้เห็นจุดอ่อนและปรับปรุงได้ตรงจุด ยิ่งทำบ่อยยิ่งได้ผล

  • การขยายขอบเขต: อย่าจำกัดตัวเองแค่หนัง ลองฟังพอดแคสต์ อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ หรือสนทนากับเจ้าของภาษา การรับรู้ภาษาอังกฤษผ่านสื่อหลากหลายรูปแบบจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

  • การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: กำหนดเป้าหมายรายวันหรือรายสัปดาห์ เช่น ฟังหนัง 30 นาที อ่านหนังสือ 1 บท หรือสนทนาภาษาอังกฤษ 15 นาที การตั้งเป้าหมายจะช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและทำให้รู้สึกมีกำลังใจ

  • การใช้เทคโนโลยี: แอปพลิเคชั่นเรียนภาษาอังกฤษมากมาย เช่น Duolingo, Babbel หรือ Memrise สามารถช่วยเสริมทักษะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองเลือกแอปที่เหมาะสมกับสไตล์การเรียนรู้ของแต่ละคน

การเรียนรู้ภาษาเป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเห็นผลลัพธ์ในทันที ความอดทนและความสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เหมือนการเดินทางไกล อาจเหนื่อยบ้างแต่ถ้ามุ่งมั่น จุดหมายปลายทางก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม สำคัญที่สุดคือการค้นหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง และสนุกไปกับกระบวนการเรียนรู้

ทำอย่างไรถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้

พูดได้คล่อง? ฝึกฝน. ไม่มีทางลัด.

  • ฟัง. Podcast, เพลง, หนัง. เลือกที่ชอบ. ซึมซับไปเอง.
  • อ่าน. ข่าว บทความ นิยาย. เริ่มจากง่ายๆ. ค่อยๆ เพิ่มระดับ.
  • เขียน. บันทึก จดหมาย อีเมล. อย่ากลัวผิด. ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ. ผมเองก็พิมพ์ผิดบ่อยๆ.
  • พูด. กับตัวเอง กับเพื่อน กับฝรั่ง. ยิ่งพูด ยิ่งคล่อง. จำไว้ว่า ความกล้า สำคัญกว่าความถูกต้อง. เคยอายเหมือนกันตอนแรกๆ. ตอนนี้ชินละ.
  • คิด. เป็นภาษาอังกฤษ. เวลาอาบน้ำ เดินทาง ก่อนนอน. สร้างโลกภาษาอังกฤษในหัว. ผมชอบคิดเป็นภาษาอังกฤษตอนขับรถ.
  • แอพ. Duolingo, Babbel, HelloTalk. มีเยอะแยะ. เลือกอันที่ใช่. ส่วนตัวผมใช้ HelloTalk คุยกับคนต่างชาติ. ได้เพื่อนใหม่ด้วย.
  • อย่าท้อ. ภาษาคือการเดินทาง. ยาวไกล. เหนื่อยบ้าง. แต่คุ้มค่า. ผมเรียนมาสิบกว่าปี ยังไม่เก่งเลย. แต่ก็ยังเรียนต่อไป. เพราะชอบ.

ปี 2024 มีแหล่งเรียนรู้เยอะ. ใช้ให้เป็นประโยชน์. โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว.

ทํายังไงถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้

อยากพูดอังกฤษคล่อง? ง่ายนิดเดียว! พูดคนเดียวไปเถอะค่ะ แต่…พูดคนเดียวอย่างเดียวไม่พอ! เหมือนเรียนเปียโนโดยไม่เคยแตะคีย์บอร์ด! ต้องฝึกฟังด้วยสิคะ! ฟังเยอะๆ จนหูชาไปเลย!

  • ฟังทุกอย่าง: ไม่ใช่แค่เพลงป๊อปนะ! ลองพอดแคสต์สารคดีบ้าง ฟังข่าว BBC ดูซีรีส์แบบไม่เปิดซับไตเติ้ล (ช่วงแรกเปิดได้นะ อย่าดื้อ!) แม้แต่เสียงนกกระจิบ ถ้ามันพูดอังกฤษได้ก็ฟังมันซะ!
  • ฟังทุกเวลา: ตอนอาบน้ำก็ได้! (ระวังลื่นนะ!) ตอนทำกับข้าวก็ได้ (อย่าลืมปิดไฟเตา!) ก่อนนอนก็ได้ (แต่เลือกพอดแคสต์ที่ฟังสบายๆนะ ไม่ใช่สเปคของพวกผี!) ปีนี้ฉันลองฟังพอดแคสต์ The Daily จาก New York Times ฟังตอนขับรถ ติดหนึบเลยล่ะ!
  • อย่ากลัวผิด: พูดผิดก็ช่างมัน! เป็นธรรมชาติของมนุษย์! ยิ่งพูดเยอะ ยิ่งเจอคำใหม่ๆ ยิ่งเก่งขึ้น! คิดซะว่าตัวเองเป็นนกแก้ว แต่เป็นนกแก้วฉลาดนะ ไม่ใช่แบบที่พูดแต่คำว่า “hello” 555

จำไว้ว่า การฟังเป็นพื้นฐานสำคัญ! เหมือนการสร้างบ้าน ถ้าไม่มีฐานรากที่มั่นคง บ้านก็พัง! ส่วนการพูดคนเดียว? เป็นเหมือนการตกแต่งบ้านหลังนั้นให้สวยงาม ให้มีชีวิตชีวา ไม่ใช่แค่บ้านเปล่าๆ!

ทำอย่างไรให้พูดภาษาอังกฤษคล่อง

เอาล่ะ มาดูกันว่าทำยังไงให้ปากเราพ่นไฟเป็นภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๋อ เหมือน “อิงลิช อิงใจ” ไม่ใช่ “อิงลิชอิหยังวะ”

  1. กล้าที่จะมั่ว: ใช่แล้ว ฟังไม่ผิดหรอก! อย่ากลัวผิดแกรมม่าร์ เพราะขนาดเจ้าของภาษายังผิดกันให้วุ่น ลองนึกภาพตัวเองเป็นนักผจญภัยทางภาษา มั่วไปเรื่อย เดี๋ยวก็เจอขุมทรัพย์คำศัพท์เองแหละ!

  2. หนัง soundtrack คือเพื่อนแท้: ดูหนังฝรั่งซ้ำๆ เปิดซับไตเติลอังกฤษไปด้วย แล้วพยายามเลียนสำเนียงตาม มันเหมือนครูฝึกส่วนตัวที่บ้าน คอยเคี่ยวเข็ญให้เราพูดเป๊ะขึ้น (แต่ไม่ต้องจ่ายตังค์!)

  3. หาเพื่อนคุย (ที่เป็นคนจริง): ไม่ใช่เพื่อน AI นะ! หาเพื่อนต่างชาติ หรือใครก็ได้ที่พูดอังกฤษได้ แล้วนัดกัน “ติวเข้ม” แบบขำๆ อาจจะแลกเปลี่ยนภาษา สอนศัพท์แสลงให้กันก็ได้

  4. ท่องศัพท์แบบมีสไตล์: ท่องศัพท์เป็นนกแก้วนกขุนทองมันน่าเบื่อ ลองทำ flashcard เอง วาดรูปประกอบ หรือแต่งเพลงเกี่ยวกับศัพท์เหล่านั้น รับรองจำแม่น!

  5. Podcast คือยาสามัญประจำบ้าน: ฟัง Podcast ภาษาอังกฤษระหว่างเดินทาง ทำงานบ้าน หรือก่อนนอน มันเหมือนการ “อาบ” ภาษาอังกฤษ ให้ซึมซับเข้าไปในสมองแบบไม่รู้ตัว

  6. เปลี่ยนมือถือเป็นภาษาอังกฤษ: นี่คือการ “บังคับ” ตัวเองให้คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษทุกวัน อ่านข้อความ, ตั้งค่าต่างๆ, เล่นเกม… ทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษหมด!

  7. เขียนไดอารี่ภาษาอังกฤษ: ไม่ต้องเขียนเรื่องยิ่งใหญ่ เขียนแค่ว่าวันนี้กินอะไร, เจอใคร, รู้สึกยังไง ก็พอแล้ว มันช่วยฝึกการเรียบเรียงคำพูดได้ดี

  8. ร้องคาราโอเกะเพลงสากล: เลือกเพลงที่ชอบ แล้วร้องให้สุดเสียง! ไม่ต้องกลัวผิดคีย์ (เพราะยังไงก็ไม่มีใครฟังอยู่แล้ว!) แค่ได้ออกเสียงภาษาอังกฤษก็คุ้มแล้ว

  9. ตั้งเป้าหมายเล็กๆ: อย่าหวังว่าพรุ่งนี้จะพูดอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษา ตั้งเป้าหมายเล็กๆ เช่น “วันนี้จะพูด 5 ประโยคใหม่” หรือ “สัปดาห์นี้จะดูหนังอังกฤษ 1 เรื่อง”

  10. อย่าท้อ!: การเรียนภาษาต้องใช้เวลา อย่าเพิ่งหมดกำลังใจถ้าไม่เห็นผลลัพธ์ในทันที นึกถึงตัวเองในอีก 6 เดือนข้างหน้า ที่พูดอังกฤษได้คล่องปรื๋อ จนใครๆ ก็ต้องอิจฉา!

ข้อมูลเพิ่มเติม (แบบขำๆ แต่จริงจัง):

  • แอพพลิเคชั่นเด็ดๆ: Duolingo, Babbel, Memrise… เลือกอันที่ชอบแล้วเล่นทุกวัน เหมือนเล่นเกมเก็บแต้ม
  • กลุ่ม Facebook สุดฮิต: หา join กลุ่มเรียนภาษาอังกฤษ ที่มีคนคอยช่วยเหลือและให้กำลังใจกัน
  • YouTube Channel ที่ใช่: เลือก Channel ที่สอนภาษาอังกฤษสไตล์ที่เราชอบ มีทั้งแบบสอนแกรมม่าร์, สอนสำเนียง, หรือสอนศัพท์แสลง
  • หนังสือเรียน (ที่อ่านแล้วไม่หลับ): หาหนังสือเรียนที่เนื้อหาไม่น่าเบื่อ มีรูปภาพประกอบ หรือมีเรื่องตลกแทรก จะช่วยให้เราอ่านได้นานขึ้น

จำไว้ว่า… ภาษาอังกฤษไม่ได้ยากอย่างที่คิด แค่ต้อง “กล้า” ที่จะลอง “ผิด” แล้วก็ “สนุก” ไปกับมัน!

#ภาษาอังกฤษ #เด็กเล็ก #เรียนภาษา