บวมมีกี่ประเภท

11 การดู
อาการบวมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ บวมแบบกดบุ๋ม (Pitting edema) ที่เกิดจากของเหลวสะสมในเนื้อเยื่อ เมื่อกดลงไปจะเกิดรอยบุ๋ม และบวมแบบไม่กดบุ๋ม (Non-pitting edema) ที่เกิดจากความผิดปกติของระบบน้ำเหลืองหรือเนื้อเยื่อ ทำให้ผิวหนังแข็งและไม่เกิดรอยบุ๋มเมื่อกด
ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

อาการบวม: ประเภทและลักษณะ

อาการบวมหรืออาการบวมน้ำเป็นสภาวะที่พบได้บ่อย ซึ่งเกิดจากการสะสมของของเหลวในร่างกายที่ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วน อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่างๆ เช่น การบาดเจ็บ โรคต่างๆ หรือการตั้งครรภ์ โดยทั่วไป อาการบวมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามลักษณะและสาเหตุ ได้แก่

1. บวมแบบกดบุ๋ม (Pitting Edema)

บวมแบบกดบุ๋มเกิดจากการสะสมของของเหลวส่วนเกินในเนื้อเยื่อเยื่อใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจเกิดจากภาวะต่างๆ เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคไต โรคตับ หรือการอุดตันของระบบน้ำเหลือง ลักษณะเด่นของบวมแบบกดบุ๋มคือเมื่อกดลงไปบริเวณที่บวม จะเกิดรอยบุ๋มที่คงอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะค่อยๆ คืนรูป อาการบวมมักเกิดที่เท้า ขาหรือบริเวณอื่นๆ ที่มีแรงโน้มถ่วงต่ำ เมื่อมีการกดทับเป็นเวลานาน เช่น การนั่งหรือนอนในท่าเดิมเป็นเวลานาน

2. บวมแบบไม่กดบุ๋ม (Non-Pitting Edema)

บวมแบบไม่กดบุ๋มเกิดจากความผิดปกติของระบบน้ำเหลืองหรือเนื้อเยื่อ ส่งผลให้เกิดการสะสมของสารต่างๆ เช่น โปรตีนและไขมันในเนื้อเยื่อ ทำให้ผิวหนังบริเวณที่บวมแข็งและตึง เมื่อกดลงไปจะไม่เกิดรอยบุ๋ม สาเหตุที่พบบ่อยของบวมแบบไม่กดบุ๋ม ได้แก่ ภาวะบวมน้ำเหลือง เรื้อรัง (Lymphoedema) ซึ่งเกิดจากการอุดตันหรือความเสียหายของระบบน้ำเหลือง และภาวะบวมไขมัน (Lipoedema) ซึ่งเกิดจากการสะสมของเซลล์ไขมันในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง บวมแบบไม่กดบุ๋มมักเกิดที่แขน ขาหรือบริเวณลำตัว

การวินิจฉัยและรักษาอาการบวม

การวินิจฉัยประเภทของอาการบวมทำได้โดยการตรวจร่างกายและสอบถามประวัติสุขภาพ โดยแพทย์จะพิจารณาลักษณะของอาการบวม ตำแหน่งที่บวม และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง การรักษาอาการบวมขึ้นอยู่กับสาเหตุ โดยแพทย์อาจสั่งจ่ายยาขับปัสสาวะเพื่อลดการกักเก็บของเหลวในร่างกาย หรือแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การจำกัดการบริโภคเกลือ การยกขาสูง หรือการสวมถุงน่องชนิดกระชับ สำหรับอาการบวมที่เกิดจากระบบน้ำเหลืองหรือเนื้อเยื่อผิดปกติ แพทย์อาจแนะนำให้ทำกายภาพบำบัดหรือการรักษาเฉพาะทางอื่นๆ

การป้องกันอาการบวม

แม้ว่าอาการบวมบางประเภทอาจไม่สามารถป้องกันได้ แต่มีบางวิธีที่สามารถช่วยลดความเสี่ยง ได้แก่

  • จำกัดการบริโภคเกลือ: การรับประทานอาหารที่มีเกลือมากเกินไปสามารถนำไปสู่การกักเก็บของเหลวในร่างกาย
  • ดื่มน้ำปริมาณมาก: การดื่มน้ำอย่างเพียงพอช่วยให้ร่างกายกำจัดของเสียและป้องกันการกักเก็บของเหลว
  • ยกขาสูง: การยกขาสูงเมื่อนั่งหรือนอนช่วยให้ของเหลวไหลเวียนกลับเข้าสู่หัวใจได้ดีขึ้น
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองทำงานได้ดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการนั่งหรือนอนในท่าเดิมเป็นเวลานาน: การกดทับบริเวณใดบริเวณหนึ่งเป็นเวลานานสามารถนำไปสู่การสะสมของของเหลวได้

หากคุณมีอาการบวมที่ไม่หายไปเองหรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม