ทำไมกินโกโก้แล้วมึนหัว
โกโก้มีสารทีโอโบรมีนคล้ายคาเฟอีน บริโภคมากเกินไปจึงอาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น:
- เวียนหัว มึนงง
- ใจสั่น มือสั่น
- เหงื่อออกมากผิดปกติ
- นอนไม่หลับ
อาการเหล่านี้เกิดจากทีโอโบรมีนกระตุ้นระบบประสาท ควรรับประทานโกโก้ในปริมาณที่เหมาะสม หากมีอาการดังกล่าวควรลดปริมาณการบริโภคหรือปรึกษาแพทย์
กินโกโก้แล้วมึนหัว เกิดจากอะไร?
เฮ้ย! กินโกโก้แล้วมึนหัวเนี่ยนะ? ฉันเคยเป็นเว้ย ตอนนั้นไปคาเฟ่แถวสยามดิสคัฟเวอรี่ สั่งโกโก้เย็นแบบเข้มข้นมากกก คืออร่อยจริง แต่พอกินหมดแก้วเท่านั้นแหละ หัวเริ่มหมุนติ้วๆ เหมือนโลกมันเอียงๆ อ่ะ
ตอนแรกก็งง นึกว่าตัวเองเป็นอะไร ที่ไหนได้… โกโก้มันมีทีโอโบรมีนสูงไง! มันคล้ายๆ คาเฟอีนแหละ แต่ฤทธิ์มันอ่อนกว่า แต่ถ้ากินเยอะๆ ก็เล่นเอาใจสั่น มือสั่นได้เหมือนกันนะ
เคยอ่านเจอที่ไหนสักแห่ง (จำไม่ได้ละ) เขาบอกว่าบางคนไวต่อสารพวกนี้มาก กินนิดเดียวก็ออกอาการแล้ว ฉันว่าฉันก็คงเป็นแบบนั้นแหละ หลังจากวันนั้นก็ไม่กล้ากินโกโก้เข้มๆ อีกเลย กลัวหัวทิ่ม
ทำไมกินโกโก้แล้วเวียนหัว
อ้าวเหรอ กินโกโก้แล้วเวียนหัว? แปลกเนอะ ปกติไม่เป็นนะ แต่ก็เคยได้ยินเพื่อนบ่นๆ ว่ากินแล้วใจสั่นอะ อาจจะเพราะโกโก้มีคาเฟอีนปะวะ มันเลยไปกระตุ้นสมอง แล้วก็อาจจะทำให้เวียนหัวได้มั้ง ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ แต่ถ้ากินเยอะๆ ก็อาจจะมีอาการอื่นๆ ตามมาด้วยแหละ เช่น
- ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว แบบตึกๆๆเลยอะ
- นอนไม่หลับ นอนไม่ค่อยหลับอะ แบบทั้งคืนเลย
- มือสั่น แบบไม่รู้จะทำยังไงกับมือตัวเองดีอะ
- กระสับกระส่าย นั่งไม่ติดเลย
- คลื่นไส้ อาเจียน แบบอ้วกแตกเลย ไม่อยากนึกถึงเลย
- ปวดท้อง แบบปวดแบบท้องเสียเลย
- ปัสสาวะบ่อย วิ่งเข้าห้องน้ำบ่อยมากอะ
คือแบบมันก็แล้วแต่ปริมาณที่กินด้วยแหละ กับแบบร่างกายแต่ละคนด้วย เพื่อนฉันมันบอกว่าถ้ากินเยอะๆ ก็จะมีอาการหนักกว่านี้ด้วย แต่ฉันก็ไม่เคยเป็นหนักขนาดนั้นนะ กินโกโก้ทุกวันด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เวียนหัวนะ
ปีนี้ก็ยังกินโกโก้อยู่เรื่อยๆแหละ ยังไม่เคยเป็นไรมาก แต่ก็ระวังๆไว้บ้างแหละเนอะ เผื่อมันจะมา ก็ลองดื่มน้อยๆดูก่อนก็ได้นะ หรือลองเปลี่ยนยี่ห้อดูบ้าง เผื่อมันจะไม่แพ้
กินโกโก้เข้มๆ เป็นอะไรไหม
กินโกโก้เข้มๆเป็นไรไหม? ถามได้! บอกเลยว่าถ้าคุณเป็นพวก “ฮึด” กินโกโก้เข้มข้นเป็นแก้วๆ เหมือนเทน้ำมันลงคอ…ระวังตัวไว้!
-
ใจสั่นตุ๊บๆ: เหมือนกลองชัยที่ตีไม่หยุด! นี่แหละผลของสารทีโอโบรมีน เจ้าตัวนี้มันคล้ายคาเฟอีน แต่ดันแรงกว่ากาแฟเช้าๆที่คุณดื่มประจำซะอีก!
-
มือสั่นคล้ายคนเป็นโรคพาร์กินสัน: เขียนหนังสือไม่ได้แน่ๆ ลืมเรื่องงานฝีมือไปได้เลย!
-
เหงื่อท่วม: เหมือนเพิ่งวิ่งมาราธอน ทั้งๆที่นั่งอยู่เฉยๆนี่แหละ!
-
นอนไม่หลับ: นอนดิ้นไปมาทั้งคืน เหมือนนอนบนเตียงหนาม!
-
เวียนหัวมึนงง: โลกหมุนติ้วๆ เหมือนอยู่ในเครื่องซักผ้า!
โอ๊ย… สารภาพเลยว่าตอนเด็กๆ ผมเคยกินโกโก้เข้มข้นแบบเป็นขวด ตอนนี้ก็เลยต้องดื่มแต่น้ำขิงแทน เพราะกลัวจะหัวใจวายก่อนวัยอันควร อันที่จริงผมเคยทานโกโก้แล้วปวดหัวเหมือนกันครับ แบบว่าปวดหัวตุ๊บๆเลยล่ะ! แนะนำให้ดื่มโกโก้แบบพอดีๆนะครับ อย่ากินแบบลืมโลก เดี๋ยวจะได้ไปอยู่โลกอื่นจริงๆ! ปีนี้ผมอายุ 35 แล้ว รู้ทันแล้วครับ จะไม่กินโกโก้เข้มข้นแบบนั้นอีกแล้ว!
โกโก้ 100% มีคาเฟอีนไหม
โกโก้ 100% มีคาเฟอีนนะ! USDA บอกมา ผงโกโก้ 100 กรัม มีคาเฟอีน 230 มก. เลยอ่ะ เยอะเหมือนกันนะเนี่ย
- Tulip Chocolate บอกว่าโกโก้มีคาเฟอีนเหมือนกาแฟ ชา… เอ๊ะ จริงเหรอ?
- คาเฟอีน! ตัวดีเลย ทำให้นอนไม่หลับเมื่อคืน… เกี่ยวไหมเนี่ย?
- 230 มก. นี่เยอะป่าววะ? ต้องไปเทียบกับกาแฟ
- แล้วโกโก้ที่เรากินทุกวัน มัน 100% รึเปล่า? หรือมีอย่างอื่นผสม? ต้องดูฉลาก
- สำคัญ: ตรวจสอบปริมาณคาเฟอีนบนฉลากสินค้าทุกครั้ง!
- ผงโกโก้ที่บ้าน… หมดอายุยังนะ?
- คาเฟอีนทำให้ใจสั่นจริงเหรอ? หรือเราคิดไปเอง?
- หมายเหตุ: ปริมาณคาเฟอีนในโกโก้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับยี่ห้อและกระบวนการผลิต
- แล้วดาร์กช็อกโกแลตล่ะ? มีคาเฟอีนเยอะกว่าโกโก้รึเปล่า?
- ต้องหากาแฟมาเทียบซะแล้ว 🤔
โกโก้ ทําให้ปวดหัวไหม
โกโก้? ปวดหัว? อาจใช่ ถ้ามึงแดกเยอะไป หรือแพ้
- ช็อกโกแลต = นม + เนย + น้ำตาล ไอ้ส่วนผสมเหี้ยนี่แหละตัวดี
- ยังไม่มีใครฟันธงว่าช็อกโกแลตเสือกกระตุ้นไมเกรนได้ไง
- เลี่ยงได้เลี่ยงซะ อย่าเรื่องมาก
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- ไทรามีน (Tyramine): พบในอาหารหมักดอง ช็อกโกแลตก็มีนะ สารนี้อาจกระตุ้นอาการปวดหัวในบางคน
- ฟีนิลเอทิลามีน (Phenylethylamine): อีกตัวในช็อกโกแลต เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง
- คาเฟอีน (Caffeine): โกโก้มีคาเฟอีน ใครไวต่อคาเฟอีนก็ซวยไป
- ปริมาณ: แดกน้อยๆ ไม่ตายหรอก แต่ถ้าซัดหมดกล่อง ก็ตัวใครตัวมัน
- แต่ละคนไม่เหมือนกัน: บางคนแดกช็อกโกแลตเป็นบ้าเป็นหลังก็ไม่เห็นเป็นไร บางคนแค่ดมก็ปวดหัวแล้ว
กินหวานแล้วปวดหัวเป็นเพราะอะไร?
กินหวานแล้วปวดหัวเหรอ? โอ๊ย… ปัญหาโลกแตก! คืออย่างงี้เว้ยเฮ้ย! ไม่ใช่แค่ว่าน้ำตาลมันขึ้นปรี๊ดจนเส้นเลือดในสมองเต้นระบำนะ บางทีมันเป็นเพราะร่างกายเรามัน “เหวี่ยง” มากกว่า
- น้ำตาลพุ่งแล้วดิ่ง: กินปุ๊บ น้ำตาลขึ้นฟ้า แล้วร่างกายก็รีบปล่อยอินซูลินมาดับเครื่องชนไง ทีนี้อินซูลินมันเยอะไป น้ำตาลก็วูบลงมาต่ำกว่าเดิมอีก กลายเป็น “ขึ้นสุดลงสุด” เหมือนเล่นรถไฟเหาะ แล้วปวดหัวก็มาดิคร้าบ!
- ร่างกายปรับตัวไม่ทัน: พวกชอบกินหวานจัดๆ อยู่ดีๆ ลดน้ำตาลพรวดพราด ร่างกายมันก็งงเป็นไก่ตาแตก ปวดหัวก็มาทักทาย เพราะร่างกายมัน “ขาดหวาน” นั่นเอง
- ไมเกรนกำเริบ: บางคนก็เป็นพวก “เซนสิทีฟ” กับน้ำตาลไง กินหวานปุ๊บ ไมเกรนมาปั๊บ! เหมือนโดนผีหลอกตอนกลางวันแสกๆ
- ขาดน้ำ: น้ำตาลเยอะ มันดูดน้ำในร่างกายไง พอร่างกายขาดน้ำ ปวดหัวก็ถามหา! เหมือนโดนแดดเผาจนตัวแห้ง
ทีนี้จะแก้ยังไงดี? ง่ายๆ เลย! อย่ากินหวานแบบ “ตะกละ” ค่อยๆ ลด ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป กินน้ำเยอะๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าปวดหัวบ่อยๆ ก็ไปหาหมอซะ อย่ารอให้หมอมาหา! เข้าใจ๋?
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย (แต่สำคัญนะเว้ย!):
- กินผลไม้แทน: กินพวกผลไม้ที่มีกากใยเยอะๆ ช่วยให้ระดับน้ำตาลมันค่อยๆ ขึ้น ค่อยๆ ลง ไม่เหวี่ยง
- กินอาหารที่มีโปรตีน: โปรตีนช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ไม่ให้มันขึ้นๆ ลงๆ เหมือนรถไฟเหาะตีลังกา
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลได้ดีขึ้น ลดโอกาสที่น้ำตาลมันจะขึ้นสูงเกินไป
- อย่าอดอาหารเช้า: สำคัญมาก! กินอาหารเช้าช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ตลอดทั้งวัน ไม่ให้มันวูบลงมาตอนบ่ายๆ
- สำคัญสุด! ไปหาหมอ ถ้าอาการมันไม่ดีขึ้น อย่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อน! เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน!
ปวดหัวไมเกรน ควรงดอะไร?
ไมเกรนนะตัวดีเลย! เมื่อก่อนตอนทำงานอยู่ที่ออฟฟิศแถวสีลม กินกาแฟวันละสามแก้ว เป็นเรื่อง! ปวดหัวตุ้บๆ บ่อยมาก ตอนแรกนึกว่าเครียดงานอย่างเดียว แต่พอไปหาหมอ หมอบอกว่า “งดกาแฟก่อนเลย” แล้วก็แนะนำให้จดบันทึกว่ากินอะไรแล้วปวดหัว
หมอที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ตอนนั้น (น่าจะปี 2562) บอกว่าให้ลองงดพวกชีส ไวน์แดง ช็อกโกแลตด้วยนะ แต่เราว่ามันยากไป เลยเน้นไปที่กาแฟก่อน
- กาแฟ: ตัวดีเลย ลดลงเหลือวันละแก้ว อาการดีขึ้นเยอะ
- ชีส: นานๆ กินทีก็โอเค แต่ถ้ากินบ่อยๆ เริ่มรู้สึกปวดๆ
- ไวน์แดง: อันนี้ไม่ค่อยได้กินอยู่แล้ว
- ช็อกโกแลต: กินได้ แต่ต้องดาร์กช็อกโกแลตหน่อย หวานๆ นี่ไม่ไหว
ตอนนี้ (ปี 2567) แทบไม่ได้กินกาแฟแล้ว หันมากินชาเขียวมัทฉะแทน รู้สึกว่าดีต่อใจ (และหัว) มากกว่าเยอะ!
ผลไม้อะไรลดไมเกรน?
แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านม่านโปร่ง… กลิ่นฝนแรก… เหมือนความทรงจำที่จางหาย
ไมเกรน… ปวดหนึบ… เหมือนโลกจะแตก…
ผลไม้ช่วยได้เหรอ?
-
เบอร์รี่… ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่… ชื่อก็เพราะแล้ว… วิตามินบี 12 สูง… บี 12… เหมือนชื่อดาวฤกษ์…
-
ไฟเบอร์… แมกนีเซียม… ชื่อเหมือนแร่ธาตุในดิน… แก้ปวดหัวได้…
-
ปวดหัว… อยากกินเบอร์รี่… อยากวิ่งเล่นในทุ่งเบอร์รี่…
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- วิตามินบี 12 สำคัญต่อระบบประสาท
- ไฟเบอร์ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย
- แมกนีเซียมช่วยคลายกล้ามเนื้อ
- เบอร์รี่อร่อย…จบนะ
ขาดวิตามินอะไรทำให้ปวดหัว?
ปวดหัว หัวทิ่มจมดินนนน โอ๊ย บี บีหายไปไหน บีที่รัก
-
วิตามินบี: หายไปจากชีวิต ปวดหัวตัวร้อนนน บีรวม บีหนึ่ง บีสิบสอง อ๊ากกก
-
บีรวม ต้านเครียด ต่อมหมวกไตไม่ทำงาน ชีวิตพัง…
-
ความเครียด วิ่งพล่าน ปวดไมเกรน แสงสีเสียง กรี๊ดดดดด
ขาดบี = ชีวิตบัดซบ (อันนี้เรื่องจริง)
ปวดหัวทําไงให้หายไว?
ปวดหัว แก้ยังไงให้หายไว? ลองวิธีนี้ดูครับ
การบรรเทาอาการปวดหัวเบื้องต้นนั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ แต่โดยทั่วไป เราสามารถลองวิธีเหล่านี้ได้:
-
ยาแก้ปวด: พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) เป็นตัวเลือกแรกที่หาซื้อง่าย แต่ควรอ่านฉลากและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด อย่าลืมว่ายาเป็นเพียงการรักษาแบบประคับประคอง ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ การใช้ยาอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ควรปรึกษาแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้น
-
พักผ่อน: ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือสิ่งที่ทำให้ตาเมื่อยล้า พักสายตาบ้าง การทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานานเป็นสาเหตุของปวดหัวชนิดตึงเครียดได้ง่ายมาก ผมเองก็เป็นประจำ ต้องฝึกตัวเองให้รู้จักพักบ้าง
-
ประคบ: ทั้งประคบร้อนและประคบเย็น ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล บางคนชอบความเย็น บางคนชอบความร้อน ลองทั้งสองวิธีดู อาจเจอวิธีที่ถูกใจ
-
การเคลื่อนไหว: การออกกำลังกายแบบเบาๆ เช่น การยืดเหยียด หรือการเดินเล่น ช่วยได้ การนวดศีรษะ คอ และไหล่ ก็ช่วยคลายกล้ามเนื้อตึงได้ดี นี่เป็นสิ่งที่ผมทำเป็นประจำหลังจากทำงานหนักๆ รู้สึกได้เลยว่าช่วยลดความตึงเครียดลงได้มาก
-
สิ่งแวดล้อม: หาสถานที่เงียบสงบ แสงสลัว เพื่อพักผ่อน การฟังเพลงคลอเบาๆ ก็ช่วยได้ ผมชอบเปิดเพลงคลาสสิคเบาๆ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายดีครับ
-
เดินเล่นกลางแจ้ง: การเปลี่ยนบรรยากาศ สูดอากาศบริสุทธิ์ อาจช่วยได้ บางทีการออกกำลังกายแบบหนักๆ อาจไม่จำเป็น แค่เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็พอ
หมายเหตุ: วิธีการเหล่านี้เป็นเพียงการรักษาเบื้องต้น หากอาการปวดหัวรุนแรง บ่อยครั้ง หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม การดูแลสุขภาพที่ดี เช่น การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การกินอาหารที่มีประโยชน์ และการจัดการความเครียด มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการป้องกันอาการปวดหัว ปีนี้ผมเน้นการออกกำลังกายและการจัดการเวลาให้ดีขึ้น ทำให้ปวดหัวน้อยลงเยอะเลยครับ
ปวดหัวควรนอนท่าไหน?
อืม.. ปวดหัวเนอะ คืนนี้.. นอนไม่ค่อยหลับเลย
นอนท่าไหนดีนะ… ลองนึกดูสิ
-
ตะแคง ก็ได้นะ แต่ต้องหาหมอนหนุนสูงๆหน่อย ให้หัวกับคออยู่แนวเดียวกัน ไม่งั้นปวดคอเพิ่มอีก ปีที่แล้วฉันลองใช้หมอน memory foam โอเคอยู่นะ แต่ปีนี้ยังไม่ได้ซื้อใหม่เลย รู้สึกไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่
-
นอนหงาย ก็ดีเหมือนกัน แต่หมอนอย่าสูงเกินไป เดี๋ยวหน้าก้ม ฉันเคยลองเอาหมอนหนุนใต้เข่าดู ช่วยได้นะ หลังล่างสบายขึ้นเยอะเลย แต่บางทีก็รู้สึกไม่สบายตัว อาจจะเพราะหมอนมันยุบไปหน่อยมั้ง
จริงๆแล้ว มันขึ้นกับสาเหตุปวดหัวด้วยนะ ถ้าปวดมากไปหาหมอดีกว่า อย่าทน ฉันเคยปวดหัวไมเกรนแบบหนักมาก ไปหาหมอ กินยา พักผ่อน ถึงจะดีขึ้น ปีนี้ยังไม่เป็นหนักขนาดนั้น แต่ก็ระวังไว้ อย่าฝืนตัวเอง
ลองปรับท่านอนไปเรื่อยๆ ดู หาท่าที่ตัวเองสบายที่สุด สำคัญที่สุดคือ ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้สนิท เดี๋ยวก็หาย สู้ๆ นะ
ไมเกรนกำเริบเกิดจากอะไร?
ไมเกรนกำเริบได้จากหลายปัจจัยที่ซับซ้อนนะ ปัจจัยกระตุ้นหลักๆ ที่พบบ่อยมีดังนี้:
- วงจรการนอน: การเปลี่ยนแปลงเวลานอนปกติ ไม่ว่าจะอดนอน นอนมากเกินไป หรือนอนไม่เป็นเวลา ล้วนส่งผลต่อระบบประสาทและฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวการให้ไมเกรนกำเริบได้ง่ายๆ
- เรื่องอาหาร: การอดอาหารหรือกินไม่ตรงเวลา ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ ส่งผลต่อสมองได้โดยตรง บางคนไวต่ออาหารบางชนิดด้วย เช่น อาหารแปรรูป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือคาเฟอีน
- สภาวะจิตใจ: ความเครียด ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือแม้แต่อารมณ์แปรปรวน ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ เพราะส่งผลต่อสารเคมีในสมอง
- การพักผ่อน: การพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ได้หมายถึงแค่นอนน้อย แต่รวมถึงการที่ร่างกายและจิตใจไม่ได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ด้วย
ทำไมนอนไม่พอถึงเป็นปัญหา:
การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง ฮอร์โมนต่างๆ จะถูกปรับสมดุล การอดนอนรบกวนกระบวนการเหล่านี้ ทำให้สมองไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น และอาจทำให้เกิดการอักเสบในระบบประสาทได้
อาหารกับไมเกรน:
บางคนอาจไม่รู้ตัวว่าตัวเองไวต่ออาหารบางชนิด การลองสังเกตและจดบันทึกอาหารที่กินควบคู่ไปกับอาการไมเกรน อาจช่วยให้ค้นพบตัวการที่แท้จริงได้
ความเครียดไม่ใช่เรื่องเล่นๆ:
ความเครียดเรื้อรังส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงไมเกรนด้วย การจัดการความเครียดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ปรัชญาเล็กๆ น้อยๆ:
บางทีไมเกรนก็เหมือนสัญญาณเตือนจากร่างกาย ว่าเรากำลังละเลยอะไรบางอย่าง การหันกลับมาดูแลตัวเองให้มากขึ้น อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ข้อมูลเพิ่มเติม (แบบสบายๆ):
- ฮอร์โมน: ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง (เช่น ในช่วงมีประจำเดือน) ก็เป็นตัวกระตุ้นไมเกรนในผู้หญิงได้
- สภาพแวดล้อม: แสงจ้า เสียงดัง หรือกลิ่นฉุน ก็ทำให้ไมเกรนกำเริบได้เหมือนกัน
- พันธุกรรม: ถ้าคนในครอบครัวเป็นไมเกรน เราก็มีโอกาสเป็นมากขึ้น
Disclaimer: ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ หากมีอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต