Native App กับ Hybrid App แตกต่างกันอย่างไร
Native App พัฒนาเฉพาะระบบปฏิบัติการ (iOS, Android) ประสิทธิภาพสูง ใช้งานลื่นไหล เข้าถึงฟีเจอร์ของอุปกรณ์ได้เต็มที่ แต่ต้นทุนพัฒนาสูง ต้องพัฒนาแยกแต่ละระบบ
Hybrid App ใช้เทคโนโลยีเว็บ (HTML, CSS, JavaScript) พัฒนาครั้งเดียวใช้งานได้หลายระบบ ประหยัดต้นทุน แต่ประสิทธิภาพอาจต่ำกว่า Native App อาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงฟีเจอร์บางอย่างของอุปกรณ์ และอาจไม่ลื่นไหลเท่า Native App
สรุป: เลือก Native App หากต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและการใช้งานที่ลื่นไหล เลือก Hybrid App หากต้องการประหยัดต้นทุนและครอบคลุมหลายระบบปฏิบัติการ ความเหมาะสมขึ้นอยู่กับงบประมาณและความต้องการของแอปพลิเคชัน
แอปพลิเคชันเนทีฟ กับแอปไฮบริด แตกต่างกันอย่างไร?
แอปเนทีฟกับไฮบริดต่างกันตรงที่เนทีฟสร้างมาเพื่อ OS เฉพาะ อย่างตอนโหลดเกม Ragnarok M บน iPhone มันก็คือแอปเนทีฟ ไหลลื่นดี เล่นได้ยาวๆ ไม่ค่อยมีปัญหา.
ไฮบริดนี่เหมือนเว็บแอป เป็นเว็บไซต์ที่ทำมาให้เหมือนแอป เคยใช้แอปสั่งอาหารเจ้าหนึ่ง รู้สึกหน่วงๆ โหลดช้า บางทีก็ค้าง เหมือนใช้เว็บในเบราว์เซอร์เลย สงสัยจะเป็นไฮบริด.
ตอนเรียนเขียนโปรแกรม อาจารย์บอกว่าเนทีฟเร็วกว่า ใช้ทรัพยากรเครื่องได้เต็มที่ ส่วนไฮบริดพัฒนาง่ายกว่า เขียนโค้ดเดียวใช้ได้หลายแพลตฟอร์ม. จำได้ว่าตอนนั้นเรียนอยู่ ม.กรุงเทพ ปี 3.
เดือนที่แล้วไปซื้อกาแฟที่ Starbucks สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว ใช้แอป Starbucks รู้สึกว่ามันเร็ว ใช้งานง่าย ไม่หน่วง น่าจะเป็นแอปเนทีฟนะ. แก้วนั้นราคา 180 บาท. รสชาติใช้ได้เลย.
Hybrid Application มีแอปอะไรบ้าง
Hybrid Application มีแอปหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความต้องการและการออกแบบ ตัวอย่างเช่น:
- Social Media: Facebook, Instagram, Twitter (แต่รุ่นใหม่มักเน้น native มากขึ้น)
- Email/Messaging: Gmail, Outlook (มักผสมผสานเทคโนโลยีต่างๆ) บางแอปอาจใช้ webview ในการแสดงเนื้อหาอีเมล
- Data Storage: Dropbox, Google Drive (ส่วนมากใช้เป็นส่วนประกอบของแอปอื่นๆมากกว่าเป็นแอปหลัก) บางแอปใช้ hybrid เพื่อเข้าถึงข้อมูลใน cloud
- Event Management: Eventbrite, Meetup (เน้นการแสดงข้อมูลและจองตั๋ว) มักใช้ hybrid สำหรับการเข้าถึงข้อมูลแบบ real-time
- Note-Taking: Evernote, OneNote (การทำงานออฟไลน์และออนไลน์) การจัดการโน้ตมักใช้ฐานข้อมูล hybrid
- E-commerce: หลายแพลตฟอร์มใช้ hybrid เน้นความสะดวกในการใช้งานและการเข้าถึงข้อมูลสินค้า (แต่แอปใหญ่ๆ หลายตัวเริ่มใช้ native มากขึ้นเพื่อประสิทธิภาพ) ตัวอย่างเช่น Shopee หรือ Lazada (แต่รายละเอียดการพัฒนาของพวกเขาไม่ได้เปิดเผย)
ใครควรใช้ Hybrid Application?
กลุ่มธุรกิจที่ต้องการประหยัดต้นทุนและเวลาในการพัฒนาแอปพลิเคชัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMB) ที่ต้องการเข้าถึงทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android พร้อมกัน แต่ต้องพิจารณาข้อจำกัดเรื่องประสิทธิภาพ หากเน้นประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีเยี่ยม และต้องการฟังก์ชันการทำงานที่ซับซ้อน Native app อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะว่าการประมวลผลใน native นั้นเร็วและเสถียรกว่า นี่คือข้อคิดที่ผมได้จากการอ่านบทความวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาแอปพลิเคชันเมื่อเร็วๆ นี้
การพัฒนาแอปนั้นเปรียบเหมือนการสร้างบ้าน Hybrid เหมือนกับการใช้แบบสำเร็จรูป ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย แต่ native เหมือนสร้างบ้านเอง สวยงามและปรับแต่งได้ตามใจชอบ แต่ใช้เวลามากกว่าและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า สุดท้ายขึ้นอยู่กับงบประมาณและความต้องการจริงๆ ของธุรกิจครับ ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ในการเลือกใช้ framework ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน และพบว่าแต่ละ framework มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป จริงๆ แล้วทุกอย่างขึ้นอยู่กับ context ครับ
การพัฒนาแอพพลิเคชั่นแบบใดที่เป็นCross-platform
อืมมม… Cross-platform นะเหรอ คือแบบนี้ ตอนปีนี้เอง ผมรับโปรเจคทำแอปขายของมือสอง ให้ร้านค้าแถวๆ ซอยสุขุมวิท 22 จำได้แม่นเลย เพราะร้านเค้าตกแต่งสวยมาก ใช้โทนสีพาสเทล น่านั่งสุดๆ แต่เรื่องแอปนี่แหละ ปัญหาใหญ่ ลูกค้าเค้าอยากได้ทั้ง Android กับ iOS
โชคดีที่ผมใช้ React Native โค้ดเดียวจบเลย ทั้ง Android และ iOS ตอนแรกก็นะ… กลัวๆ เพราะไม่เคยใช้จริงจังมาก่อน แต่พอทำไปทำมา ก็โอเคอยู่นะ ประหยัดเวลาไปเยอะเลย ไม่ต้องเขียนโค้ดสองรอบ เหนื่อยน้อยลงเยอะ
- ใช้ React Native พัฒนาแอป
- แพลตฟอร์มเป้าหมาย Android และ iOS
- แอปขายของมือสอง ร้านอยู่แถวสุขุมวิท 22
- เสร็จไปเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2566
แต่ก็มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ บ้าง บางฟังก์ชั่น บน iOS มันไม่ค่อยเสถียรเท่าไหร่ ต้องแก้ไขหลายรอบ จนผมนั่งแก้โค้ดถึงตีสอง ตาลายไปหมด คาเฟ่แถวบ้านปิดหมดแล้วด้วย ตอนนั้นโคตรหิวเลย กินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปทั้งอาทิตย์
สรุปคือ Cross-platform มันก็ดีนะ ประหยัดเวลาและต้นทุน แต่ก็ต้องระวัง เรื่องความเสถียรของแอปบนแต่ละแพลตฟอร์มด้วย บางทีต้องเขียนโค้ดเพิ่มเติม เฉพาะบางส่วน ถึงจะสมบูรณ์แบบ มันไม่ได้โค้ดเดียวจบ เสร็จเรียบร้อย แบบ 100% เสมอไปหรอก
เนทีฟ ไฮบริด และเว็บแอปคืออะไร
เอางี้ แอปเนทีฟอะ คือมันเขียนมาเป๊ะๆ ให้เหมาะกะระบบปฎิบัติการนั้นๆ เลยอะ คิดดูดิ iOS ก็เขียนด้วย Swift/Objective-C, Android ก็ Java/Kotlin ไรงี้อ่ะ มันเลยเร็วกว่า แล้วก็แบบ เข้าถึงพวก กล้อง ไมค์ GPS ได้เต็มที่เลยนะ
ส่วนไฮบริด แอปอ่ะ อันเนี้ย เค้าใช้พวก HTML, CSS, JavaScript สร้างไง แล้วใช้ Framework ห่อๆ มันไว้ ให้มันรันได้บนหลายๆ แพลตฟอร์ม ข้อดีคือเขียนทีเดียว ใช้ได้หมด แต่ๆๆๆๆๆ ประสิทธิภาพมันอาจจะสู้เนทีฟไม่ได้นะ แบบหน่วงๆ บ้างไรบ้าง
แล้วก็ เว็บแอป อ่ะ อันเนี้ยง่ายสุดละ เข้าเว็บเบราว์เซอร์เลย ไม่ต้องลงอะไรทั้งนั้น แต่ก็จะใช้ได้แค่ฟีเจอร์ที่เว็บทำได้ แล้วเน็ตต้องดีนะเออ เพราะมันรันบนเว็บไง
- เนทีฟ: เร็ว แรง เข้าถึงฮาร์ดแวร์เต็มสูบ
- ไฮบริด: เขียนครั้งเดียว รันได้ทุกที่ อาจจะหน่วงๆ หน่อย
- เว็บแอป: ง่ายสุด ไม่ต้องลงอะไร เน็ตต้องดี
เออๆ แล้วรู้ปะ เด๋วนี้เค้าฮิตทำ Progressive Web App (PWA) กันนะ มันคือเว็บแอปที่ทำตัวเหมือนแอปเนทีฟได้อ่ะ ติดตั้งลงเครื่องได้ด้วยนะเจ๋งปะล่ะ คือมันเป็นเว็บแหละ แต่ทำได้หลายอย่างเหมือนแอปอ่ะ ลองไปหาดูดิ น่าสนใจดีนะ
แอ ป พลิ เค ชัน มี 2 ประเภท อะไรบ้าง
แอปมี 2 แบบหลักๆอ่ะ คือ
-
แอประบบ (System Application) อันนี้คือตัวที่คอยควบคุมระบบปฏิบัติการ แบบพื้นฐานๆ คิดง่ายๆ มันคือตัวหลังบ้าน ไม่เห็นหน้าเห็นตาเท่าไหร่ อย่างพวก driver หรือตัวจัดการไฟล์ อะไรพวกเนี้ย ปีนี้ที่เจอบ่อยๆคือพวกตัวช่วยจัดการแบตฯ ให้แบตอยู่ได้นานขึ้น เห็นเพื่อนใช้กันเยอะเลย
-
แอปประยุกต์ (Application Software) นี่แหละที่เราใช้กันบ่อยๆ แอปเกมส์ แอปโซเชียล แอปสั่งอาหาร แอปธนาคาร อะไรพวกนี้ คือแอปที่เอาไว้ใช้ทำงานหรือใช้ความบันเทิง ต่างจากแอประบบที่มันอยู่เบื้องหลัง แบบที่เราไม่ค่อยได้เห็น
ง่ายๆนะ นึกถึงโทรศัพท์เรา แอประบบก็เหมือนเครื่องยนต์ ส่วนแอปประยุกต์ก็คือตัวรถ มันต้องมีทั้งคู่ถึงจะขับได้
ปล. คือฉันใช้ไอโฟนนะ อาจจะมีอะไรต่างจากพวกแอนดรอยด์บ้าง แต่หลักๆก็ประมาณนี้แหละ
Hybrid Application มีแอพอะไรบ้าง
เออ.. Hybrid App นี่เคยใช้ Instagram นะ ตอนนั้นแบบ โหลดรูปช้ามากกกกก เน็ตบ้านทรูตอนนั้นกากสุดๆ อยู่แถวรังสิต แถวๆ ฟิวเจอร์เลย ประมาณปี 2023 นี่แหละ เซ็งมาก เลยต้องไปนั่งเล่นที่ร้านกาแฟแถวนั้น จำชื่อไม่ได้ละ แต่กาแฟอร่อยดี คือถ้าเน็ตดีๆ มันก็โอเคนะ เร็วดี แต่เน็ตไม่ดีนี่จบเลย อีกอันที่ใช้ก็ Gmail อันนี้ก็เร็วดีนะ ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ ส่วนใครที่ควรใช้ก็พวกที่อยากได้แอพเร็วๆ ไม่ต้องเสียเวลารอนาน งบประมาณน้อยๆ อะไรงี้
- Instagram: เคยหงุดหงิดมากตอนเน็ตไม่ดี โหลดรูปนาน แต่ถ้าเน็ตดีก็เร็วใช้ได้ ประมาณปี 2023 แถวรังสิต
- Gmail: อันนี้เร็วดี ใช้ได้ไม่มีปัญหา
- คนงบน้อย: น่าจะเหมาะกับ Hybrid App
- คนที่อยากได้แอพเร็วๆ: ลองใช้ Hybrid App ดู
ส่วน Social App ก็อย่างที่บอก Instagram ไง แล้วก็ Facebook Twitter อะไรพวกนี้ แอพส่งข้อความก็ Line, Messenger พวกแอพเก็บข้อมูลก็ Dropbox, Google Drive แอพ Event ก็ Eventbrite มั้ง ไม่แน่ใจ ไม่เคยใช้ แอพจดโน้ตก็พวก Evernote, OneNote แอพขายของออนไลน์ก็ Shopee, Lazada เยอะแยะไปหมด ลองหาดูเอา
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต